ประเภทของโมเด็ม
โมเด็มสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ
I. การแบ่งโมเด็มตามรูปร่างและลักษณะการใช้งาน แบ่งออกได้เป็น 3 แบบ คือ
1 . โมเด็มแบบติดตั้งภายใน (Internal Modem)
โมเด็มชนิดนี้ มีรูปร่างเป็นแผงวงจรนำมา เสียบเข้ากับตัวเครื่องคอมพิวเตอร์โดยตรง โมเด็มชนิดนี้จะใช้กำลังไฟฟ้าจากเครื่องคอมพิวเตอร์โดยตรง จึงไม ? จำเป็นต้องจัดหาแหล่งจ่ายไฟฟ้าเพิ่มเติม ส่วนมากโมเด็มติดตั้งภายในจะทำการติดตั้งผ่านพอร์ตอนุกรม RS-232C รวมอยู่ด้วย การเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์กับโมเด็มจะต่อผ่านแผงวงจรที่ออกแบบไว้ เช่น ผ่านทางสล็อต หรือผ่านแผงเสียบ

รูปแสดงโมเด็มแบบติดตั้งภายใน
ข้อดี ของโมเด็มแบบติดตั้งภายใน
1. ไม่ เปลืองเนื้อที่
2. ไม่ ต้องใช้พอร์ตอนุกรม
3. ราคาถูกกว่าโมเด็มชนิดภายนอกเพราะไม่ ต้องมีกล้องหรือการห่อหุ้มโมเด็ม
4. มีชิป UART (Universal Asynchronous Receiver - transmitter) เป็นชิปรุ่นใหม่ที่ทำหน้าควบคุมการรับ-ส่งข้อมูลผ่านพอร์ตอนุกรมของโมเด็มกับพีชี ให้รับส่งข้อมูลได้ รวดเร็วและมีความผิดพลาดของข้อมูลน้อยลง
ข้อเสีย ของโมเด็มแบบติดตั้งภายใน
1. ไม่มีสัญญาณไฟบอกสถานะของการทำงาน
2. ติดตั้งยากกว่าแบบภายนอก
3. ไม่สะดวกในการเคลื่อนย้ายไปใช้เครื่องอื่น
4. ติดตั้งได้เฉพาะเครื่องคอมแบบ PC เท่านั้นไม่สามารถใช้งานกับ Notebook ได้
2 . โมเด็มชนิดติดตั้งภายนอก (External Modem)
โมเด็มชนิดนี้มีรูปร่างเป็นกล่องสี่เหลี่ยมแบนๆ ภายในมีแหล่งจ่ายไฟ วงจรโมเด็ม ลำโพง และข้อต่อแบบ 25 ขา (DB-25) เอาไว้เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ผ่านทางพอร์ตอนุกรม RS-232C โมเด็มแบบติดตั้งภายนอกจะต่อเข้ ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ชนิดใดก็ได้ ไม่ จำกัดเหมือนอย่างโมเด็มชนิดติดตั้งภายใน ด้านหน้าของโมเด็มจะมีไฟสีแดงแสดงสถานการณ์ทำงานต่าง ๆ ครบถ้วน เพื่อแสดงการของตัวโมเด็มเอง และสัญญาณการเชื่อมต่อของ RS-232C ไฟแสดงสถานการณ์ทำงานนี้ช่วยให้การใช้โมเด็มสะดวกยิ่งขึ้น สามารถหาข้อผิดพลาดได้ ง่าย

รูปแสดงโมเด็มแบบติดตั้งภายนอก
ข้อดี ของโมเด็มแบบติดตั้งภายนอก
1. มีสวิตซ์ปิด-เปิดภายนอก
2. ติดตั้งได้ ง่าย
3. มีไฟแสดงสถานการทำงาน
4. สามารถเคลื่อนย้ายไปใช้กับเครื่องอื่นได้ง่าย
5 . สามารถใช้งานกับเครื่อง Notebook ได้เนื่องจากต่อกับ Serial Port หรือ Parallel Port
ข้อเสีย ของโมเด็มแบบติดตั้งภายนอก
1. มีราคาแพง
2. ใช้พอร์ตอนุกรม
3. เปลืองเนื้อที่บนโต๊ ะ ต้องใช่เนื้อที่ในการวางโมเด็มด้วย
4. เกิดปัญหาจากสายต่อได ้ ง่าย
นอกจากนี้ทั้งโมเด็มแบบติดตั้งภายในและโมเด็มแบบติดตั้งภายนอก ยังสามารถแบ่ ง
ออกเป็น 2 ชนิด ได้ แก่
• โมเด็มแบบ Serial เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้ต่อกับคอมพิวเตอร์ผ่าน COM Port โดยใช้สายสัญญาณ และมีอะแด็ปเตอร์ (Adapter) เพื่อทำหน้าที่แปลงไปจากกระแสสลับเป็นกระแสตรงและจ่ายให้กับโมเด็ม
• โมเด็มแบบ UBS เป็นโมเด็มที่ใช้ต่อกับคอมพิวเตอร์ผ่านทางพอร์ต USB โดยใช้สาย USB โมเด็มชนิดนี้จะใช้ไปจากพอร์ต USB โดยตรงจึงไม่ต้องต่ออะแด็ปเตอร์
3. โมเด็มแบบการ์ด PCMCIA
โมเด็ม PCMCIA (Personal Computer Memory Card International Asociation) เป็นโมเด็มที่ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพา ซึ่งเป็นโมเด็มที่มีขนาดเล็กที่สุด มีขนาดเท่ากับบัตรเครดิต ได้รับการออกแบบเพื่อใช้กับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก ส่วนประกอบของโมเด็มชนิดนี้จะมีลักษณะคล้ายกับโมเด็มติดตั้งภายในเป็นโมเด็มที่ใช้งานกับเครื่องโน้ตบุ๊ก จะมีลักษณะเป็นการ์ดที่ใช้เสียบเข้ากับช่อง PCMCIA

รูปแสดงโมเด็มแบบการ์ด PCMIA
II. การแบ่งโมเด็มตามการต่อเชื่อมสัญญาณ แบ่งออก ได้เป็น 2 แบบ คือ
1 . โมเด็มที่ใช้กับสายตรง (Lease Line)
โมเด็มที่ใช้กับสายตรงหรือสายเช่าจะส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงจนถึงสูงมาก (9600 bps จนถึง 2000000 bps) ผ่านสายที่ลากตรงไปยังจุดหมายปลายทางตายตัว ซึ่งเป็นการติดต่อในลักษณะจุดถึงจุด (Point to Point) จะต่อไปยังจุดอื่นๆไม ? ได ? ส ? วนมากจะเป็นการใช้ติดต่อส่งข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ข้อมูลส่งไปมาเป็นจำนวนมาก เช่น เครือข่าย ATM ของธนาคาร การส่งข้อมูลมักจะเป็นกลุ่มและมีซอฟแวร์ควบคุมการส่งโดยเฉพาะ เรียกว่า การรับส่งข้อมูลแบบ Synchronous
ข้อดี ของโมเด็มที่ใช้กับสายตรง คือ สามารถส่งข้อมูลได ? ที่ความเร็วสูง เนื่องจากสายส่งมีคุณภาพดี
เหมาะกับงานส่งข้อมูลจำนวนมากระหว่างจุดสองจุด
ข้อเสีย ของโมเด็มที่ใช้กับสายตรง คือ ไม ? สามารถเปลี่ยนจุดรับข้อมูลไปตามที่ต่างๆได ? จึงขาดความคล ? องตัว
2. โมเด็มแบบใช้กับสายโทรศัพท์ (Dial-up Line)
โมเด็มแบบนี้จะรับส่งข้อมูลด้วยความเร็วตั้งแต่ 300 bps จนถึง 56,000 bps ผ่านเครือข่ายโทรศัพท์ที่ใช้กันอยู่ สามารถรับส่งข้อมูลไปยังที่ต่างๆได ? ตามต้องการ การรับส่งข้อมูลจะเป็นการรับส่งทีละหนึ่งตัวอักษร ไม ่ ส่งเป็นกลุ่ม เรียกว่า รับส่งแบบ Asynchronous ซึ่งปกติ แล ? วจะรับส่งข้อมูลผ่านสายโทรศัพท์ด้วยความเร็ว 9,600 bps ถึง 28,800 bps เท ? านั้น ความเร็วสูงสุดที่เชื่อถือได ? ในการรับส่งข้อมูลของโมเด็มคือ 28,800 bps
ข้อดี ของโมเด็มแบบใช้กับสายโทรศัพท์ คือ มีความคล่องตัวสูงสามารถรับข้อมูลไปยังที่ต่างๆได้ไม่จำกัด และไม่จำเป็นต้องจัดหาวงจรสายตรงมาเป็นพิเศษเพื่อส่งข้อมูล
ข้อเสีย ของโมเด็มแบบใช้กับสายโทรศัพท์ คือ ความเร็วในการส่งข้อมูลต่ำกว่าโมเด็มแบบสายตรง และถ้ารับข้อมูลเป็นจำนวนมากไปยังจุดปลายทางเดียวกันในระยะไกลค่าโทรศัพท์ทางไกลอาจจะแพงกว่าการเช่าวงจรสายตรงมาใช้ก็ได้
ปัจจุบันโมเด็มบางรุ่นอาจทำงานได้เฉพาะกับสายตรงหรือสายโทรศัพท์เท่านั้น โมเด็มที่ใช้งานได้ทั้งสองอย่างซึ่งมักจะมีราคาแพงกว่าโมเด็มที่ใช้กับสายโทรศัพท์เพียงอย่างเดียว ถ้าการใช้งานไม่ใช่การต่อกับพีซีเข้ากับเครื่องเมนเฟรมหรือเครื่องมินิคอมพิวเตอร์แล้วละก็การใช้โมเด็มแบบต่อกับสายโทรศัพท์ได้อย่างเดียวก็นับว่าเพียงพอแล้วสำหรับส่งข้อมูลทั่วไป
III. การแบ่งโมเด็มตามความเร็วในการส่งข้อมูล แบ่งออกได้เป็น 4 แบบ คือ
1 . โมเด็มความเร็วต่ำ (LOW - SPEED MODEM )
เป็นโมเด็มที่รับส่งข้อมูลได ? เพียง 30 ถึง 480 ตัวอักษรต่อวินาที และใช้การผสมสัญญาณแบบเปลี่ยนความถี่ (Frequency Shift Keying – FSK) แทนค่าข้อมูลด้วย “0” และ “1” โดยที่แทนข้อมูล “1” ด้วยความถี่ต่ำ แทนข้อมูล “0” ด้วยความถี่สูง
2. โมเด็มความเร็วปานกลาง (MEDIUM - SPEED MODEM)
เป็นโมเด็มที่มีความเร็วในการส่งข้อมูลประมาณ 9,600 ถึง 14,400 บิตต่อวินาที มีฟังก์ชั่นการทำงานพิเศษมากมาย เช่น การหมุนโทรศัพท์อัตโนมัติ และการปรับจำนวนบิตที่รับส่งข้อมูลอัตโนมัติ เป็นต้น โมเด็มความเร็วปานกลางนี้ ใช้เทคนิคการผสมสัญญาณโดยเปลี่ยนแปลงมุมของช่วงคลื่น (Phase) และขนาดของสัญญาณ (Amplitude) ไปพร้อมๆ กันสามารถรับส่งข้อมูลได ้ทั้ง งแบบสองทิศทาง Full Duplex และแบบทิศทางเดียว Half Duplex
3. โมเด็มความเร็วสูง (HIGH - SPEED MODEM)
เป็นโมเด็มที่มีความเร็วในการับ ส่งข้อมูลตั้งแต่ 19,200 ถึง 28,800 บิตต่อวินาที หรือสูงกว่านั้น ใช้ฮาร์ดแวร์พิเศษ และมีการผสมสัญญาณที่ซับซ้อน และยังสามารถรับส่งในแบบสองทิศทาง Full Duplex ส่วนฟังก์ชั่นการทำงานต่างๆ ของโมเด็มความเร็วสูงมีความใกล้เคียงกับโมเด็มความเร็วปานกลาง
4. โมเด็มความเร็วสูงพิเศษ
ได้รับการออกแบบมาเมื่อประมาณ พ . ศ .2539 นี้เนื่องจากการรับส่งข้อมูลมีจำนวนมาก ต้องการใช้การดาวน์โหลดข้อมูลจำนวนมาก เช่น ข้อมูลมัลติมีเดีย ภาพ เสียง ข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต การนำโมเด็มความเร็วสูงมาใช้จะต้องมีองค์ประกอบ คือ โทรศัพท์ และระบบชุมสายโทรศัพท์ที่สามารถรับการส่งสัญญาณดิจิทัลได้ โมเด็มความเร็วสูงมีความเร็วในการรับส่งข้อมูลประมาณ 56 kbps หรือ 56,000 บิตต่อวินาที
ข้อเสีย ของโมเด็มแบบใช้กับสายโทรศัพท์ คือ ความเร็วในการส่งข้อมูลต่ำกว่าโมเด็มแบบสายตรง และถ้ารับข้อมูลเป็นจำนวนมากไปยังจุดปลายทางเดียวกันในระยะไกลค่าโทรศัพท์ทางไกลอาจจะแพงกว่าการเช่าวงจรสายตรงมาใช้ก็ได้
ปัจจุบันโมเด็มบางรุ่นอาจทำงานได้เฉพาะกับสายตรงหรือสายโทรศัพท์เท่านั้น โมเด็มที่ใช้งานได้ทั้งสองอย่างซึ่งมักจะมีราคาแพงกว่าโมเด็มที่ใช้กับสายโทรศัพท์เพียงอย่างเดียว ถ้าการใช้งานไม่ใช่การต่อกับพีซีเข้ากับเครื่องเมนเฟรมหรือเครื่องมินิคอมพิวเตอร์แล้วละก็การใช้โมเด็มแบบต่อกับสายโทรศัพท์ได้อย่างเดียวก็นับว่าเพียงพอแล้วสำหรับส่งข้อมูลทั่วไป
III. การแบ่งโมเด็มตามความเร็วในการส่งข้อมูล แบ่งออกได้เป็น 4 แบบ คือ
1 . โมเด็มความเร็วต่ำ (LOW - SPEED MODEM )
เป็นโมเด็มที่รับส่งข้อมูลได ? เพียง 30 ถึง 480 ตัวอักษรต่อวินาที และใช้การผสมสัญญาณแบบเปลี่ยนความถี่ (Frequency Shift Keying – FSK) แทนค่าข้อมูลด้วย “0” และ “1” โดยที่แทนข้อมูล “1” ด้วยความถี่ต่ำ แทนข้อมูล “0” ด้วยความถี่สูง
2. โมเด็มความเร็วปานกลาง (MEDIUM - SPEED MODEM)
เป็นโมเด็มที่มีความเร็วในการส่งข้อมูลประมาณ 9,600 ถึง 14,400 บิตต่อวินาที มีฟังก์ชั่นการทำงานพิเศษมากมาย เช่น การหมุนโทรศัพท์อัตโนมัติ และการปรับจำนวนบิตที่รับส่งข้อมูลอัตโนมัติ เป็นต้น โมเด็มความเร็วปานกลางนี้ ใช้เทคนิคการผสมสัญญาณโดยเปลี่ยนแปลงมุมของช่วงคลื่น (Phase) และขนาดของสัญญาณ (Amplitude) ไปพร้อมๆ กันสามารถรับส่งข้อมูลได ้ทั้ง งแบบสองทิศทาง Full Duplex และแบบทิศทางเดียว Half Duplex
3. โมเด็มความเร็วสูง (HIGH - SPEED MODEM)
เป็นโมเด็มที่มีความเร็วในการับ ส่งข้อมูลตั้งแต่ 19,200 ถึง 28,800 บิตต่อวินาที หรือสูงกว่านั้น ใช้ฮาร์ดแวร์พิเศษ และมีการผสมสัญญาณที่ซับซ้อน และยังสามารถรับส่งในแบบสองทิศทาง Full Duplex ส่วนฟังก์ชั่นการทำงานต่างๆ ของโมเด็มความเร็วสูงมีความใกล้เคียงกับโมเด็มความเร็วปานกลาง
4. โมเด็มความเร็วสูงพิเศษ
ได้รับการออกแบบมาเมื่อประมาณ พ . ศ .2539 นี้เนื่องจากการรับส่งข้อมูลมีจำนวนมาก ต้องการใช้การดาวน์โหลดข้อมูลจำนวนมาก เช่น ข้อมูลมัลติมีเดีย ภาพ เสียง ข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต การนำโมเด็มความเร็วสูงมาใช้จะต้องมีองค์ประกอบ คือ โทรศัพท์ และระบบชุมสายโทรศัพท์ที่สามารถรับการส่งสัญญาณดิจิทัลได้ โมเด็มความเร็วสูงมีความเร็วในการรับส่งข้อมูลประมาณ 56 kbps หรือ 56,000 บิตต่อวินาที
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น