วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2556
ความหมายอีการ์ด
E-Card คืออะไร อี การ์ด คือบัตรอวยพรอิเลคโทรนิค
E-Card คืออะไร
E-Card หรือ Electronic Card หมายถึง บัตรอวยพร หรือ บัตรทักทายในรูปแบบอิเลคโทรนิค ซึ่งในปัจจุบันมีเว็บไซต์เป็นจำนวนมากทั้งไทยและต่างประเทศ ที่ให้บริการส่ง e-card ในวาระหรือเทศกาลต่าง ๆ ที่แสนสะดวกสบาย ซึ่งมีทั้งแบบที่เสียค่าใช้จ่ายและไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย มีการ์ดแบบต่าง ๆ ให้เลือกมากมายหลายแบบ แต่ละแบบจะบรรจุข้อความ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และเสียงเพลง ที่ผู้ส่งสามารถเลือกตกแต่งได้เองตามที่ต้องการ
ข้อมูลที่ควรจะเตรียมไว้ก่อนที่จะใช้บริการส่ง e-card ก็คือชื่อ-นามสกุล และE-Mail address ของผู้รับและของตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการที่เว็บไซต์ต่าง ๆ เหล่านั้น จะใช้เป็นเส้นทางส่ง e-card ไปถึงผู้รับปลายทาง และใช้แจ้งให้ผู้ส่งทราบว่าผู้รับ e-card ได้เปิดอ่าน e-card นั้นแล้วหรือยัง
วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2556
เวิลด์ไวด์เว็บ
ความหมายของเวิลด์ไวด์เว็บ เว็บเบราด์เซอร์
เวิลด์ไวด์เว็บ (World Wide Web)
เวิลด์ไวด์เว็บ นิยมเรียกสั้นๆ ว่าเว็บ หรือ WWW ถือเป็นส่วนที่น่าสนใจที่สุดบนอินเทอร์เน็ตเพราะ
สามารถแสดงสารสนเทศต่างๆ ได้หลากหลาย เช่น นิตยสารหรือหนังสือพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ข้อมูลด้านดนตรี
กีฬา การศึกษา ซึ่งสามารถนำเสนอได้ทั้งภาพ เสียง รวมถึงภาพเคลื่อนไหว เช่นแฟ้มภาพวีดิทัศน์หรือตัวอย่าง
ภาพยนตร์ และการสืบค้นสารสนเทศในเวิลด์ไวด์เว็บนั้นจำเป็นต้องอาศัยโปรแกรมค้นดูเว็บ (web browser)
ในการเข้าถึงแหล่งข้อมูล โดยที่เว็บกับโปรแกรมค้นผ่านจะทำหน้าที่รวบรวมและกระจายเอกสารที่เครือข่าย
ที่ทำไว้
เบราด์เซอร์ (Browser)
ชนิดหนึ่งที่ใช้ในการแสดงผลข้อมูลเว็บต่างๆทั้งในรูปแบบของ HTML
(Hypertext Markup language), PHP, CGI, JavaScript ต่างๆเพื่อใช้ในการค้นหาข้อมูลเพื่อ
ความบันเทิงหรือธุรกรรมอื่นๆเป็นต้น
ในอดีตนั้น Web Browserที่ได้รับความนิยมอย่างสูงสุดคงหนีไม่พ้น Web Browser ของ Netscape
ในช่วงนั้น Microsoft ยังไม่ได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับ Web Browser มากนัก แต่ต่อมาไม่นาน Internet
ก็ได้มีความเจริญมากขึ้นตามลำดับ Microsoftจึงได้ปล่อย Web Browser ชนิดหนึ่งออกมาสู้กับทาง
Netscape นั้นคือIE (Internet Explorer) ในช่วงแรกของการแข่งขันนั้นทั้ง 2 ได้มีผู้ใช้งานอย่าง
สูสีกันมาตลอดแต่ในที่สุด IE ก็ได้รับชัยชนะไปและได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบันแต่แล้วในปัจจุบันได้มี
webBrowser น้องใหม่ออกมาอีกหนึ่งตัวนั้นคือMozilla Firefox ซึ่งได้ออกมาในภาพลักษณ์ของ web
browser ที่มีความปลอดภัยสูงและโหลดหน้าwebpage ได้เร็วกว่าทาง Mozilla ได้ออกมาบอกว่าได้มีผู้โหลดโปรแกรมนี้ไปใช้งานมากกว่า ล้านครั้งและมีทีท่าว่าจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆบัดนี้สงคราม web browser ทั้ง 2 กำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด
อ้างอิง//http://www.viruscom2.com/web-browser.html
E-mail จดหมายอิเล็กทรอนิกส์
จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (E-Mail)
Posted on มิถุนายน 13, 2010 by krukoon

E-Mail คืออะไร
……จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (E-Mail) คือ การส่งข้อความหรือข่าวสารจากบุคคลหนึ่งไปยังบุคคลอื่นๆ ผ่านทางคอมพิวเตอร์และระบบเครือข่ายเหมือนกับการส่งจดหมาย แต่อยู่ในรูปแบบของสัญญาณข้อมูลที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์ โดยเปลี่ยนการนำส่งจดหมายจากบุรุษไปรษณีย์มาเป็นโปรแกรม และเปลี่ยนจากการใช้เส้นทางจราจรคมนาคมทั่วไปมาเป็นช่องสัญญาณรูปแบบต่างๆ ที่เชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะตรงเข้ามาสู่ Mail Box ที่ถูกจัดสรรใน Server ของผู้รับปลายทางทันที…
เราใช้ E-Mail ทำอะไรกัน
……ปัจจุบันนี้ด้วยระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงถึงกันทั่วโลก ทำให้ระบบการติดต่อสื่อสารข้อมูลถึงกันสามารถทำได้อย่างง่ายดาย อินเตอร์เน็ตนับเป็นระบบจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เพราะมีผู้ใช้งานมากกว่า 25 ล้านคน ติดต่อเข้าใช้อินเตอร์เน็ต เพื่อส่ง E-Mail
……E-Mail นับเป็นทางเลือกใหม่ของการติดต่อสื่อสาร ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีระบบเครือข่าย ทำให้การส่งหรือรับ E-Mail ไม่ว่าผู้ส่งและผู้รับจะอยู่ที่ใด เป็นไปได้ในช่วงเวลาที่สั้นและรวดเร็ว สามารถส่งหรือรับข้อมูลได้ทันที และตลอดเวลาที่เครื่องคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อเข้าสู่ระบบ โดยค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจะสัมพันธ์กับค่าโทรศัพท์ที่ใช้ และค่าธรรมเนียมในการขอใช้บริการจากผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต
……เราใช้ E-Mail เพื่อส่งข้อมูลที่สามารถจัดเก็บในรูปแบบของแฟ้มข้อมูล (File) คอมพิวเตอร์ได้ทุกประเภท ไม่ว่านั่นจะเป็นเพียงข้อความจดหมายเพื่อพูดคุยธรรมดาหรือเป็นแฟ้มข้อมูลรูปภาพ รวมทั้งยังสามารถแนบแฟ้มข้อมูลเอกสาร หรือข้อมูลต่างๆได้อีกด้วย
ในเชิงธุรกิจ E-Mail จะช่วยลดค่าใช้จ่ายและระยะเวลาในการติดต่อสื่อสาร นอกจากนี้ยังสามารถส่งจดหมายฉบับเดียวกันถึงผู้รับปลายทางได้เป็นจำนวนมาก ทำให้มีการนำ E-Mail มาใช้เพื่อการโฆษณา หรือประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการได้อีกด้วย
มาทำความรู้จักและเรียนรู้วิธีใช้งาน E-Mail กัน
……ในการใช้งาน E-Mail จำเป็นจะต้องมี E-Mail Address เสียก่อน โดย E-Mail Address จะเป็นเหมือนที่อยู่ทางอินเตอร์เน็ตของแต่ละคน มักจะแทนด้วยชื่อหรือรหัสที่ใช้แทนตัว แล้วตามด้วยชื่อของ Mail Server ที่ให้บริการ เช่น somchai@isp.co.th โดยทั่วไป E-Mail Address จะประกอบด้วย
- User ID ใช้เป็นชื่อหรือรหัสประจำตัวของผู้ใช้บริการแต่ละคน
- เครื่องหมาย @
- Domain Name ของ Mail Server ที่ใช้บริการ
เมื่อต้องการส่ง E-Mail มีส่วนประกอบสำคัญที่ต้องให้รายละเอียด คือ
1. To: ระบุ E-Mail Address ของผู้รับปลายทาง
2. Subject: ใส่หัวเรื่องย่อๆของเนื้อหา
3. CC (Carbon Copy): เป็นการระบุ E-Mail Address ของผู้ที่เราต้องการให้ได้รับสำเนาของจดหมายฉบับนี้ด้วย
4. BCC (Blind Carbon Copy): เช่นเดียวกับ CC แต่ทำให้ผู้รับไม่ทราบว่าเราต้องการ ส่งใคร
5. Attachment: เราสามารถแนบไฟล์ไปกับการส่ง E-Mail ด้วยก็ได้
6. Body: เป็นเนื้อหาข้อความของจดหมาย
วันพุธที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2556
เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต
บทที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต
ความหมายของอินเทอร์เน็ต
อินเทอร์เน็ต ( Internet ) คือ เครือข่ายของคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั่วโลก เข้าด้วยกัน โดยอาศัยเครือข่ายโทรคมนาคมเป็นตัวเชื่อมเครือข่าย ภายใต้มาตรฐานการเชื่อมโยงด้วยโปรโตคอลเดียวกันคือ TCP/IP (Transmission Control Protocol / Internet Protocol) เพื่อให้คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในอินเทอร์เน็ตสามารถสื่อสารระหว่างกันได้ นับว่าเป็นเครือข่ายที่กว้างขวางที่สุดในปัจจุบัน เนื่องจากมีผู้นิยมใช้ โปรโตคอลอินเทอร์เน็ตจากทั่วโลกมากที่สุด อินเทอร์เน็ตจึงมีรูปแบบคล้ายกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระบบ WAN แต่มีโครงสร้างการทำงานที่แตกต่างกันมากพอสมควร เนื่องจากระบบ WANเป็นเครือข่ายที่ถูกสร้างโดยองค์กรๆ เดียวหรือกลุ่มองค์กร เพื่อวัตถุประสงค์ด้านใดด้านหนึ่ง และมีผู้ดูแลระบบที่รับผิดชอบแน่นอน แต่อินเทอร์เน็ตจะเป็นการเชื่อมโยงกันระหว่างคอมพิวเตอร์นับล้านๆ เครื่องแบบไม่ถาวรขึ้นอยู่กับเวลานั้นๆ ว่าใครต้องการเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ตบ้าง ใครจะติดต่อสื่อสารกับใครก็ได้ จึงทำให้ระบบอินเทอร์เน็ตไม่มีผู้ใดรับผิดชอบหรือดูแลทั้งระบบ
ความเป็นมาของอินเทอร์เน็ต
ความเป็นมาของอินเตอร์เน็ตในต่างประเทศ
- อินเตอร์เน็ต ซึ่งเป็นโครงการของ ARPAnet (Advanced Research Projects Agency Network) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่สังกัด กระทรวงกลาโหม ของสหรัฐ(U.S.Department of Defense - DoD)
- ค.ศ.1960 (พ.ศ.2503) ARPA ได้ถูกก่อตั้งและได้ถูกพัฒนาเรื่อยมา
- ค.ศ.1969 (พ.ศ.2512) ARPA ได้รับทุนสนันสนุน จากหลายฝ่าย ซึ่งหนึ่งในผู้สนับสนุนก็คือ Edward Kenedy และเปลี่ยนชื่อจาก ARPA เป็นDARPA(Defense Advanced Research Projects Agency) พร้อมเปลี่ยนแปลงนโยบายบางอย่าง และในปีค.ศ.1969(พ.ศ.2512)นี้เองที่ได้ทดลองการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์คนละชนิด จาก 4 แห่งเข้าหากันเป็นครั้งแรก คือ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย สถาบันวิจัยสแตนฟอร์ด มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย และมหาวิทยาลัยยูทาห์ เครือข่ายทดลองประสบความสำเร็จอย่างมาก ดังนั้นในปีค.ศ.1975(พ.ศ.2518) จึงได้เปลี่ยนจากเครือข่ายทดลอง เป็นเครือข่ายที่ใช้งานจริง ซึ่ง DARPA ได้โอนหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง ให้แก่ หน่วยการสื่อสารของกองทัพสหรัฐ (Defense Communications Agency - ปัจจุบันคือ Defense Informations Systems Agency) แต่ในปัจจุบัน Internet มีคณะทำงานที่รับผิดชอบบริหารเครือข่ายโดยรวม เช่น ISOC (Internet Society) ดูแลวัตถุประสงค์หลัก, IAB (Internet Architecture Board) พิจารณาอนุมัติมาตรฐานใหม่ในInternet, IETF (Internet Engineering Task Force) พัฒนามาตรฐานที่ใช้กับInternet ซึ่งเป็นการทำงานโดยอาสาสมัคร ทั้งสิ้น- ค.ศ.1983 (พ.ศ.2526) DARPA ตัดสินใจนำ TCP/IP (Transmission Control Protocal/Internet Protocal) มาใช้กับคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในระบบ ทำให้เป็นมาตรฐานของวิธีการติดต่อ ในระบบเครือข่าย Internet จนกระทั่งปัจจุบัน จึงสังเกตุได้ว่า ในเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่จะต่อ internet ได้จะต้องเพิ่มTCP/IP ลงไปเสมอ เพราะTCP/IP คือข้อกำหนดที่ทำให้คอมพิวเตอร์ทั่วโลก ทุก platform คุยกันรู้เรื่อง และสื่อสารกันได้อย่างถูกต้อง
- การกำหนดชื่อโดเมน (Domain Name System) มีขึ้นเมื่อ ค.ศ.1986 (พ.ศ.2529) เพื่อ สร้างฐานข้อมูลแบบกระจาย (Distribution database) อยู่ในแต่ละเครือข่าย และให้ ISP(Internet Service Provider) ช่วยจัดทำฐานข้อมูลของตนเอง จึงไม่จำเป็นต้องมีฐานข้อมูลแบบรวมศูนย์ เหมือนแต่ก่อน เช่น การเรียกเว็บwww.yonok.ac.th จะไปที่ตรวจสอบว่ามีชื่อนี้ หรือไม่ ที่ www.thnic.co.th ซึ่งมีฐานข้อมูลของเว็บที่ลงท้ายด้วย th ทั้งหมด เป็นต้น- DARPA ได้ทำหน้าที่รับผิดชอบดูแลระบบ internet เรื่อยมาจนถึง - ค.ศ.1980 (พ.ศ.2533) และให้ มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (National Science Foundation - NSF) เข้ามาดูแลแทนร่วม กับอีกหลายหน่วยงาน
ความเป็นมาของอินเตอร์เน็ตในประเทศไทย- พ.ศ. 2530 ประเทศไทยได้มีการเชื่อมโยงเครือข่ายเตอร์เน็ตครั้งแรก โดยมีจุดประสงค์เพื่อเชื่อมโยงกับมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) เชื่อมโยงกับมหาวิทยาลัยเมลเบิร์นในออสเตรเลีย แต่ไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร เนื่องจากการส่งข้อมูลล่าช้า
- พ.ศ. 2535 ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (Nectect) ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT)มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมมือกันเช่าสายโทรศัพท์เพื่อต่อพ่วงคอมพิวเตอร์แต่ละสถาบันเข้าด้วยกัน โดยเรียกเครือข่ายสมัยนั้นว่า "เครือข่ายไทยสาร"
- พ.ศ. 2537 เครือข่ายไทยสารเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และมีหน่วยงานต่างๆของราชการเข้ามาเชื่อมต่อในเครือข่ายมากขึ้นเรื่อยๆ และต่อมาทางหน่วยงานเอกชนมีความต้องการใช้บริการมากขึ้น การสื่อสารแห่งประเทศไทย จึงได้ร่วมมือกับบริษัทเอกชนเปิดให้บริการอินเตอร์เน็ตแก่บิษัทต่างๆ หรือบุคคลทั่วไปที่สนใจ โดยเรียกบริษัทเอกชนที่ให้บริการทางอินเตอร์เน็ตเชิงพาณิชย์ว่า ISP (Internet Service Provider)ใน ความเป็นจริง ไม่มีใครเป็นเจ้าของ internet และไม่มีใครมีสิทธิขาดแต่เพียงผู้เดียว ในการกำหนดมาตรฐานใหม่ต่าง ๆ ผู้ติดสินว่าสิ่งไหนดี มาตรฐานไหนจะได้รับการยอมรับ คือ ผู้ใช้ ที่กระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก ที่ได้ทดลองใช้มาตรฐานเหล่านั้น และจะใช้ต่อไปหรือไม่เท่านั้น ส่วนมาตรฐานเดิมที่เป็นพื้นฐานของระบบ เช่น TCP/IP หรือ Domain name ก็จะต้องยึดตามนั้นต่อไป เพราะ Internet เป็นระบบกระจายฐานข้อมูล การจะเปลี่ยนแปลงระบบพื้นฐาน จึงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก
การประยุกต์ใช้อินเทอร์เน็ตเราสามารถนำระบบเครือข่าย Internet มาประยุกต์ใช้กับการนิเทศการศึกษาได้หลากหลาย
และ เกือบจะนับว่า Internet มีความจำเป็นอย่างยิ่งในระบบการศึกษาปัจจุบัน และในอนาคต ทั้งนี้จะเห็นได้จากสถาบันการศึกษาเกือบทุกสถาบัน ทั้งในระดับอุดมศึกษา มัธยมศึกษา หรือแม้แต่ประถมศึกษา ได้มีการนำเทคโนโลยี Internet มาใช้ประกอบการเรียนการสอน และนำมาเป็นเครื่องมือในการค้นคว้าหาความรู้สำหรับครู-อาจารย์ มากขึ้นโดยลำดับ บางสถาบัน ได้กำหนดให้มีการลงทะเบียนเรียน แจ้งผลการเรียน หรือแม้กระทั่งเรียนผ่านทาง Internet แล้ว ขณะนี้โรงเรียนในสังกัดกรมสามัญศึกษา ส่วนใหญ่สามารถที่จะเชื่อมต่อใช้งาน Internet
ได้แล้วจากโครงการ SchoolNet และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ดังนั้น การนิเทศการศึกษาจึงไม่ควรจำกัดเฉพาะการนิเทศโดยตรงเท่านั้น
การ นำเทคโนโลยี Internet มาประยุกต์ใช้กับการนิเทศการศึกษา จึงเป็นนวัตกรรมใหม่ที่จะทำให้การนิเทศการศึกษาขยายขอบข่ายได้กว้างขวางขึ้น
การนำเทคโนโลยี Internet มาประยุกต์ใช้ในการนิเทศ อาจทำได้หลายรูปแบบ เช่น
1. การสร้าง Web page เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารการนิเทศ และข้อมูลเทคนิคเกี่ยวกับการเรียนการสอนต่าง ๆ
2. การใช้ E-mail สำหรับตอบปัญหาในด้านการจัดการเรียนการสอนของครู-อาจารย์และนักเรียน 3. การใช้โปรแกรมที่สามารถติดต่อแบบ Real time เช่น ICQตอบปัญหาข้อข้องใจของครู-อาจารย์ และ นักเรียน หรือใช้สำหรับประชุมทางไกล
4. การสร้างชุดการสอน หรือ CAI บน Internet ในรูปแบบของ Web page
การสร้าง Web page วิธีการนี้เหมาะสำหรับหน่วยงานหรือองค์กรที่ต้องการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ
หรือเพื่อประโยชน์ด้านใดด้านหนึ่ง ผู้ที่จะสร้าง Web pageได้จะต้องเป็นผู้มีความรู้ทางการเขียน
โปรแกรม ภาษา HTML (Hypertext Markup Languaqe) บ้างพอสมควร ปัจจุบัน Web page ของไทยที่เกี่ยวข้องกับการศึกษามีอยู่มากมาย เช่นWeb site ของ โรงเรียนต่าง ๆ ในโครงการ SchoolNet
Web site ของกระทรวงศึกษาธิการ , กรมสามัญศึกษา , หน่วยศึกษานิเทศก์
Web site ของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ หมายเหตุWeb page หมายถึง หน้าเอกสารแต่ละหน้าที่แสดงผ่านทาง Browser
Home page หมายถึง Web page หน้าแรกของเอกสารที่แสดงผ่านทาง Browser
Web site หมายถึง ข้อมูลทั้งหมดที่แสดงผ่านทาง Browser ซึ่งประกอบด้วย Home page
และ Web page ทั้งหมด Web site เหล่านี้ ผู้สร้างสามารถกำหนดให้ผู้ใช้หรือผู้เยี่ยมชม
สามารถสำเนาข้อมูล แฟ้มเอกสาร หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ ไปใช้งานได้ หรือกำหนดให้ส่ง
E-mail ถึงเจ้าของหรือผู้ดูแลระบบได้ทันทีดังนั้น วิธีการนิเทศในรูปแบบของการใช้ Web page สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ในกรณีที่ต้องการเผยแพร
่เอกสารทางวิชาการที่เป็นประโยชน์ต่อการเรียนการสอน
หรือนำเสนอข้อมูลต่าง ๆ ได้ E-mail กับการนิเทศ
ศึกษานิเทศก์ สามารถให้การนิเทศได้ทั้งทางตรง และ
ทางอ้อม การนิเทศทางอ้อมที่ประหยัด รวดเร็ว ไม่จำกัด
ช่วงเวลา ได้แก่การใช้ E-mail ในการติดต่อสื่อสาร ซี่ง
ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลที่จะประยุกต์นำไปใช้ เพราะ E-mail ไม่ได้หมายถึงเฉพาะเขียนจดหมายโต้ตอบกันเท่านั้น
แต่ยังสามารถที่จะส่งแฟ้มเอกสาร แฟ้มรูปภาพ และแฟ้ม
ข้อมูล ต่าง ๆ ได้อีกด้วย การใช้โปรแกรมที่ติดต่อกันแบบ
Real time เช่น โปรแกรม ICQ เราสามารถใช้โปรแกรม ICQ
ให้เป็นประโยชน์ต่อการนิเทศก์ ได้ในลักษณะเดียวกับ E-mail
ครู-อาจารย์ หรือนักเรียนที่มีปัญหาเกี่ยวกับการเรียนการสอน สามารถที่จะพูดคุยโต้ตอบกันได้ทันที และสามารถสื่อสารพร้อมกัน
ได้หลาย ๆ คนประโยชน์และโทษของอินเทอร์เน็ต
ประโยชน์และโทษของอินเทอร์เน็ตอิน เทอร์เน็ตเป็นเครื่องเทคโนโลยีสื่อสารที่เอื้ออำนวยความสะดวกให้แกผู้ใช้ บริการ ในลักษณะของการสื่อสารที่ผ่านทางคอมพิวเตอร์ และช่องทางการสื่อสารชนิดต่างๆ ไม่ได้เป็นการสื่อสารจากบุคคลหนึ่งไปยังบุคคลหนึ่งโดยตรง จึงทำให้เกิดทั้งประโยชน์และโทษในการสื่อสารบนอินเทอร์เน็ต
1.ประโยชน์ของอินเทอร์เน็ต1.สามารถติดต่อสื่อสารกับบุคคลอื่นทั่วโลก
2.สามารถค้นหาข้อมูลต่างๆได้เสมือนกับเราไปนั่งอยู่ที่ห้องสมุดขนาดใหญ่ได้ข้อมูลมากมายจากทั่วทุกมุมโลก
3.เปรียบเสมือนเวที่ให้เข้าไปแสดงความคิดเห็นได้ภายในห้องสนทนา(chat room) และกระดานข่าว(Web room) เป็นการเปิดโลกกว้างและวิสัยทัศน์ในเรื่องที่น่าสนใจ4.สามารถติดตามเคลื่อนไหวจากข่าวสารทั่วโลกอย่างรวดเร็ว
5.สามารถเปิดการค้าได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องหาที่จัดตั้งร้านหรือพนักงานบริการ แต่สามารถทำการค้าได้ด้วยตัวเองคนเดียว
6.สามารถ ซื้อสินค้า โดยไม่ต้องเดินทางไปยังร้านค้า ซื้อผ่านทางเว็บไซต์ที่ให้บริการ การชำระเงินก็สะดวก เช่น ชำระผ่านบัตรเครดิต การหักเงินผ่านบัญชีธนาคาร
7.สามารถรับส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์(E-mail) เป็นการส่งจดหมายที่ไม่ต้องเสียค่าบริการและรับส่งจดหมายได้ภายในและภายนอก ประเทศ นอกจากจดหมายที่เป็นข้อความแล้ว ยังส่งบัตรอวยพรในเทศการต่างๆได้อีก
8.สามารถอ่านนิตยสาร หนังสือพิมพ์ บทความ และเรื่องราวต่างๆได้ฟรีเหมือนกับเราซื้อหนังสือฉบับนั้นมาอ่านเอง
9.สามารถติดประกาศข้อความต่างๆที่ต้องการประกาศให้ผู้อื่นทราบได้ เช่น ประกาศขายบ้าน ประกาศสมัครงาน ประกาศขอความช่วยเหลือ
10.มีของฟรีอีกมากมายที่สามารถใช้บริการได้จากอินเทอร์เน็ต เช่น ภาพ เพลง โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ดูหนัง เกม
2. โทษของอินเทอร์เน็ต
1.อิน เทอร์เน็ตเป็นเครืข่ายขนาดใหญ่ที่มีผู้คนมากมายเข้ามาใช้บริการ เป็นเวทีเปิดกว้างและให้อิสระกับทุกคนที่เข้ามาเขียนข้อมูล หรือติดประกาศต่างๆโดยปราศจากการกลั่นกรองที่ดี ทำให้ข้อมูลที่ได้รับไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นจริงหรือไม่
2.เกิดปัญญาหาของการละเมิดลิขสิทธิ์ เช่น การดาวน์โหลดเพลง หรือรูปภาพมารวบรวมขาย หรือเป็นปัญหาอย่างยิ่งคือ การตัดต่อภาพบุคคลที่มีชื่อเสียงให้กลายเป็นภาพแบบอนาจารหรือเสียหายได้
3.ก่อให้เกิดปัญหาด้านอาชญากรรม เพราะการเล่นอินเทอร์เน็ต เช่น การล่อล่วงหญิงไปในทางที่ไม่ดี การก่อคดีข่มขืน เนื่องจากเว็บไซต์โป๊
4.ก่อให้เกิดปัญหาการหมกหมุ่นของเยาวชนที่เข้าไปในเว็บไซต์ จนทำให้เกิดโรคติดต่อทางอินเทอร์เน็ต ทำให้เกิดอันตรายต่อตนเองเเละสังคมได้
โรคติดต่อทางอินเทอร์เน็ต
เป็นอาการทางจิตประเภทหนึ่ง นักจิตวิทยาชื่อ Kimberly S.Young ได้วิเคราะห์ไว้ว่า บุคคลใดมีอาการต่อไปนี้ อย่างน้อย 4 ประการ เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี แสดงว่าเป็นอาการติดอินเทอร์เน็ต
· รู้สึกหมกหมุ่นกับอินเทอร์เน็ต แม้ในเวลาไม่เข้าอินเทอร์เน็ต
· มีความต้องการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเวลานานขึ้นอยู่เรื่อยๆ
· ไม่สามารถควบคุ้มการใช้อินเทอร์เน็ตได้
· รู้สึกหงุดหงิดเทื่อใช้อินเทอร์เน็ตน้อยลง· คิดว่าเมือใช้อินเทอร์เน็ตเเล้วทำให้ตัวเองรู้สึกดี
· ใช้อินเทอร์เน็ตในการหลีกเลี่ยงปัญหา
· หลอกคนใช้ในครอบครัวหรือเพื่อน เรื่องการใช้อินเทอร์เน็ต
· มีอาการผิดปกติเมื่อเลิกใช้อินเทอร์เน็ต เช่น หดหู่ กระวนกระวาย
· อาการ ดังกล่าวมี่มากกว่า 4 ประการในช่วง 1 ปี จะถือว่าเป็นอาการติดอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีผลเสียต่อระบบร่างกาย ทั้งการกิน การขับถ่าย และกระทบต่อการเรียน สภาพสังคมอีกด้วย มารยาทในการใช้อินเทอร์เน็ต เรียกว่าบัญญัติ 10 ประการ
· ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์หรือละเมิดทำร้ายผู้อื่น
· ต้องไม่รบกวนการทำงานของผู้อื่น
· ต้องไม่สอดแนม แก้ไข หรือเปิดดูแฟ้มผู้อื่น
· ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการโจรกรรม· ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์สร้างหลักฐานที่เป็นเท็จ
· ต้องไม่คัดลอกโปรแกรมของผู้อื่น
· ต้องไม่ละเมิดในการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์โดยที่ตนเองไม่มีลิขสิทธิ์
· ต้องไม่นำผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตน
· ต้องคำนึงถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับสังคมที่เกิดจากการกระทำของท่าน· ต้องใช้คอมพิวเตอร์โดยเคารพกฏระเบียบ กติกา มารยาท
บทที่ 2 การเชื่อมต่อินเทอร์เน็ต
บทที่ 2 การเชื่อมต่อินเทอร์เน็ต
การเชื่อมต่อินเทอร์เน็ตการปรับแต่งคอมพิวเตอร์สำหรับการใช้งานอินเทอร์เน็ต
สำหรับการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตเพื่อใช้งานภายในบ้าน จำเป็นจะต้องมีส่วนประกอบสำคัญที่จะสามารถเชื่อมต่อระหว่างผู้กับผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต ประกอบด้วยส่วนประกอบสำคัญ
อุปกรณ์คอมพิวเตอร์
โมเด็ม
โปรแกรมสำหรับการใช้งานอินเตอร์เน็ต
วิธีการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต
การเลือกผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต
· รู้สึกหมกหมุ่นกับอินเทอร์เน็ต แม้ในเวลาไม่เข้าอินเทอร์เน็ต
· มีความต้องการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเวลานานขึ้นอยู่เรื่อยๆ
· ไม่สามารถควบคุ้มการใช้อินเทอร์เน็ตได้
· รู้สึกหงุดหงิดเทื่อใช้อินเทอร์เน็ตน้อยลง· คิดว่าเมือใช้อินเทอร์เน็ตเเล้วทำให้ตัวเองรู้สึกดี
· ใช้อินเทอร์เน็ตในการหลีกเลี่ยงปัญหา
· หลอกคนใช้ในครอบครัวหรือเพื่อน เรื่องการใช้อินเทอร์เน็ต
· มีอาการผิดปกติเมื่อเลิกใช้อินเทอร์เน็ต เช่น หดหู่ กระวนกระวาย
· อาการ ดังกล่าวมี่มากกว่า 4 ประการในช่วง 1 ปี จะถือว่าเป็นอาการติดอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีผลเสียต่อระบบร่างกาย ทั้งการกิน การขับถ่าย และกระทบต่อการเรียน สภาพสังคมอีกด้วย มารยาทในการใช้อินเทอร์เน็ต เรียกว่าบัญญัติ 10 ประการ
· ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์หรือละเมิดทำร้ายผู้อื่น
· ต้องไม่รบกวนการทำงานของผู้อื่น
· ต้องไม่สอดแนม แก้ไข หรือเปิดดูแฟ้มผู้อื่น
· ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการโจรกรรม· ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์สร้างหลักฐานที่เป็นเท็จ
· ต้องไม่คัดลอกโปรแกรมของผู้อื่น
· ต้องไม่ละเมิดในการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์โดยที่ตนเองไม่มีลิขสิทธิ์
· ต้องไม่นำผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตน
· ต้องคำนึงถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับสังคมที่เกิดจากการกระทำของท่าน· ต้องใช้คอมพิวเตอร์โดยเคารพกฏระเบียบ กติกา มารยาท
บทที่ 2 การเชื่อมต่อินเทอร์เน็ต
บทที่ 2 การเชื่อมต่อินเทอร์เน็ต
การเชื่อมต่อินเทอร์เน็ตการปรับแต่งคอมพิวเตอร์สำหรับการใช้งานอินเทอร์เน็ต
สำหรับการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตเพื่อใช้งานภายในบ้าน จำเป็นจะต้องมีส่วนประกอบสำคัญที่จะสามารถเชื่อมต่อระหว่างผู้กับผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต ประกอบด้วยส่วนประกอบสำคัญ
อุปกรณ์คอมพิวเตอร์
โมเด็ม
โปรแกรมสำหรับการใช้งานอินเตอร์เน็ต
วิธีการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต
การเลือกผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต
อุปกรณ์คอมพิวเตอร์
เมนบอร์ด มีประสิทธิภาพสูงพอสมควรในปัจจุบันคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานในทั่วไป จะมีซีพียูรุ่น Celeron, Pentium iv และ amd ซีพียุเหล่านี้จะรองรับการใช้งานระบบมัลติมีเดีย ไม่ว่าจะเป็นการ์ดจอ การ์ดเสียง และลำโพง
หน่วยความจำแรม จะขึ้นอยู่กับระบบปฏิบัติการที่ใช้ แต่อย่างน้อยไม่ควรต่ำกว่า 64-128 mb ในปัจจุบันนิยมใช้ windows xp หน่วยความจำแรมไม่ต่ำกว่า 256 mb
จอภาพและการ์ดแสดงผล สามารถแสดงผลได้ตั้งแต่ 256 สีขั้นไป
ระบบมัลติมิเดีย คือ การ์ดเสียงพร้อมลำโพง เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกรุ่นจะมีให้เฉพาะ การ์ดเสียง และลำโพงเท่านั้น อุปกรณ์เสริมอื่นๆ คือ ไมโครโฟน และกล้องเว็บแคม ผู้ใช้จะต้องหาเพิ่มเติมเองเมื่อต้องการใช้งาน
โมด็ม
โมเด็ม หรือ ( modulator/demodulator) มีหน้าที่แปลงข้อมูลในรูปแบบดิจิทัล ของระบบคอมพิวเตอร์ให้เป้นสัญญาณเสียงในรูปแบบแอนะล็อก เพื่อให้สามารถส่งไปทางโทรศัพท์ได้ การ modulate โดยที่ปลายทางก็จะมีโมเด็มทำหน้าที่แปลงสัญญาณเสียงในรูปแบบแอนะล็อก ซึ่งรับมาจากโทรศัพท์ให้กลับมาเป็นข้อมูลแบบดิจิทัล เพื่อใช้งานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ เรียกว่า demodulate เนื่องจากสายโทรศัพท์ส่วนใหญ่จะสามารถส่งข้อมูลได้ ไม่เกิน 56 kbps โมเด็มแบ่งออกเป็น 3 ประเภท
โมเด็มแบบภายใน
โมเด็มแบบภายนอก
โมเด็มแบบ pcmcia
เมนบอร์ด มีประสิทธิภาพสูงพอสมควรในปัจจุบันคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานในทั่วไป จะมีซีพียูรุ่น Celeron, Pentium iv และ amd ซีพียุเหล่านี้จะรองรับการใช้งานระบบมัลติมีเดีย ไม่ว่าจะเป็นการ์ดจอ การ์ดเสียง และลำโพง
หน่วยความจำแรม จะขึ้นอยู่กับระบบปฏิบัติการที่ใช้ แต่อย่างน้อยไม่ควรต่ำกว่า 64-128 mb ในปัจจุบันนิยมใช้ windows xp หน่วยความจำแรมไม่ต่ำกว่า 256 mb
จอภาพและการ์ดแสดงผล สามารถแสดงผลได้ตั้งแต่ 256 สีขั้นไป
ระบบมัลติมิเดีย คือ การ์ดเสียงพร้อมลำโพง เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกรุ่นจะมีให้เฉพาะ การ์ดเสียง และลำโพงเท่านั้น อุปกรณ์เสริมอื่นๆ คือ ไมโครโฟน และกล้องเว็บแคม ผู้ใช้จะต้องหาเพิ่มเติมเองเมื่อต้องการใช้งาน
โมด็ม
โมเด็ม หรือ ( modulator/demodulator) มีหน้าที่แปลงข้อมูลในรูปแบบดิจิทัล ของระบบคอมพิวเตอร์ให้เป้นสัญญาณเสียงในรูปแบบแอนะล็อก เพื่อให้สามารถส่งไปทางโทรศัพท์ได้ การ modulate โดยที่ปลายทางก็จะมีโมเด็มทำหน้าที่แปลงสัญญาณเสียงในรูปแบบแอนะล็อก ซึ่งรับมาจากโทรศัพท์ให้กลับมาเป็นข้อมูลแบบดิจิทัล เพื่อใช้งานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ เรียกว่า demodulate เนื่องจากสายโทรศัพท์ส่วนใหญ่จะสามารถส่งข้อมูลได้ ไม่เกิน 56 kbps โมเด็มแบ่งออกเป็น 3 ประเภท
โมเด็มแบบภายใน
โมเด็มแบบภายนอก
โมเด็มแบบ pcmcia
โปรแกรมสำหรับการใช้งานอินเตอร์เน็ต
1. โปรแกรมระบบปฏิบัติการ จำเป็นมากสำหรับการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกชนิด เพราะจะเป็นโปรแกรมที่ทำหน้าที่จัดสรรทรัพยากรต่างๆ ในระบบในระบบ หน่วยความจำ การบันทึกข้อมูล และอุปกรณ์ต่อเชื่อมอื่นๆ
2.โปรแกรมเว็บบราว์เซอร์ คือ โปรมแกรมที่ใช้เปิดเว็บเพจต่างๆ ในอินเตอร์เน็ต โปรมแกรมนี้จะสามารถมากมายที่จะเป็นประโยชน์ในการท่องเว็บ
3.โปรแกรมรับส่งจดหมายอิแล็กทรอนิกส์ ทำหน้าที่ข้อมูลจดหมายโดยสร้างโฟลเดอร์สำหรับเก็บจดหมายไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา
4.โปรแกรมสำหรับการสื่อสารบนอินเตอร์เน็ต ใช้สำหรับการสื่อสารระหว่างผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตด้วยกัน ในรูปแบบของการพิมพ์ข้อความโต้ตอบ เรียกว่า chat
5.โปรแกรมมัลติมีเดียบนอินเตอร์เน๊ต ใช้งานบนระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตในปัจจุบันมีหลากหลายรู้แบบ ทั้งรูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว เสียง วีดีทัศน์
วิธีการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตจะใช้โมเด็มแบบหมุนโทรศัพท์ เรียกว่า “dial –up’’ ทำหน้าที่แปลงข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ในรูปแบบของดิจิทัล ให้เป็นสัญญาณเสียงในรูปแบบแอนะล็อก เพื่อส่งข้อมูลผ่านทางโทรศัพท์ ความเร็วของการส่งข้อมูลอยู่ที่ 33.6 kbps และสำหรับการรับข้อมูลอยู่ที่ 56 kbps
การรับส่งข้อมูลแบบบรอดแบนด์
1. การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบ isdn ( intergrated services digital network )
2.การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบ adsl ( asymmetric digital subscriberv link )
3.การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบเคเบิลโมเด็ม ( cable modem )
4.การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่านดาวทียม ( satellite )
5.การเชื่อต่ออินเตอร์เน็ตแบบวงจรเช่า ( leased line )1.การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบ isdn
ถ้าต้องการใช้ระบบ isdn จะต้องขอหมายเลขโทรศัพท์ใหม่ที่เป็น isdn การให้บริการ isdn แบ่งออกเป็น 2 ระดับ
Bai สำหรับผู้ใช้รายย่อย ตามบ้านพัก หรือหน่วยงานขนาดเล็ก มีความเร็วเต็มที่ 128 mbps
Pri สำหรับองค์กรขนาดใหญ่โดยการเดินสายเคเบิลใยแก้วนำแสง จะมีช่องสัญญาณสำหรับการสื่อสาร 30 ช่องสัญญาณ แต่ละช่องมีความเร็วที่ 64 kbps2.การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบ adsl การบริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงโดยผ่านทาง สามารถ ใช้กับการเชื่อมต่อผ่านทางสายโทรศัพท์แบบเดิม สามารถเปลี่ยนสายโทรศัพท์ธรรมดาให้เป็นสายดิจิทัล มีความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูง
3.การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบเคเบิลโมเด็ม มีความเร็วสูงที่ไม่ต้องใช้สายโทรศัพท์ อาศัยเครือข่ายเคเบิลจากผู้ให้บริการ ถ้าต้องการใช้บริการแบบเคเบิลโมเด็มจะต้องใช้บริการของ asia net การทำงานของเคเบิลโมเด็มจะคล้ายกับ adsl มีการเข้ารหัสสัญญาณดิจิทัลด้วยความถี่สูง แล้วส่งผ่านสายเคเบิลไปยัง ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต กรณีนี้สายโคแอกเซียลทำให้สามารถรับส่งข้อมูลได้ด้วยความเร็วสูง
4.การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่านดาวเทียม
เป็นบริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง มีผู้ให้บริการเพียงรายเดียว cs internet ในเครือชินคอร์ปอเรชั่นเจ้าของดาวเทียมไทยคม การรัยข้อมูลด้วยสัญญาณความเร็วสูงมามายังผู้ใช้ในระดับเมกะบิตผ่านดาวเทียมโดยผู้ใช้จะต้องติดตั้งจานรับสัญญาณดาวเทียม ส่วนการส่งข้อมูล ทำการผ่านทางโมเด็มและสายโทรศัพท์มีความเร็วแค่ 56 kbps การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่านดาวเทียม เป็นช่องทางที่ถูกรบกวนได้ง่ายจากสภาพดินฟ้าอากาศควรเตรียมช่องทางอื่นในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตไว้สำรองในการใช้งาน5.การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบวงจรเช่า
การเชื่อมเอนเตอร์แบบ leased line จะเหมาะกับการใช้งานสำหรับองค์กร สถาบันการศึกษา หรือระบบธุรกิจต่างๆที่มีผู้บริการเอนเตอร์เน็ตเป็นจำนวนมาก โดยไม่ต้องหมุนโทรศัพท์เข้าไปยังศูนย์บริการอินเตอร์เน็ตเพราะการเชื่อมแบบ leased line จะเชื่อมกับเครือข่ายอินเตอร์เน็ตตลอด 24 ชั่วโมง
ค่าใช้จ่ายในการเช่าต้องเป็นรายเดือน โดยจะเสียค่าบริการตามความเร็วที่เช่าสายสัญญาณเป็นอัตราเดียวกันทุกเดือน และไม่ต้องเสียค่าบริการตามชั่วโมงการใช้งานอีก
ในองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีผู้ใช้บริการเอนเตอร์เน็ตจำนวนมาก จะนิยมการเชื่อมต่อเอนเตอร์เน็ตแบบนี้ เพราะสามารถใช้งานเอนเตอร์เน็ตได้โดยไม่จำกัดปริมาณการงาน โดยเฉพาะสถาบันการศึกษาต่างๆ จะต้องให้บริการแก่นักเรียน นักศึกษา และบุคลากรในหน่วยงาน
การเลือกให้ผู้บริการเอนเตอร์เน็ต (isp)โดยมีวิธีหลักการที่ต้องคำนึง ดังต่อไปนี้
1. ความน่าเชื่อถือ ควรจะพิจารณาว่าผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตบริษัทนั้นมีความน่าถือในการให้บริการมากน้อยเพียงใด ซึ่งจะสามารถหาข้อมูลได้โดยการสอบถามจากผู้เคยใช้บริการโดยตรง
2. ประสิทธิภาพของระบบ โดยพิจารณาจากความเร็วใยการรับส่งข้อมูล การเชื่อมต่อกับสายโทรศัพท์หลุดบ่อยหรือไม่ หรือในขณะที่เรากำลังทำการโอนย้ายข้อมูล และเกิดสายโทรศัพท์หลุดก็จะทำให้เราต้องเสียเวลาในการโอนย้ายข้อมูลใหม่
3. หมายเลขโทรศัพท์ ผู้ให้บริการเอนเตอร์เน้ตจะต้องมีช่องทางให้กับบริการด้วยโมเด็ม ดังนั้นจำนวนผู้บริการจะต้องสำพันธ์กับหมายเลขโทรศัพท์ที่จัดหาไว้
4. อัตราการใช้โมเด็ม ผู้ให้บริการเอนเตอร์เน็ตจะต้องมีคู่สายโมเด็มเพียงพอต่อการรองรับการใช้บริการของลูกค้า
5. ค่าบริการ โดยเราเลือกซื้อตามปริมาณการใช้งานของเราได้เพื่อให้คุ้มค่าต่อปริมาณค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายไป
6. ค่าธรรมเนียมต่างๆ พิจารณาว่าผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตแต่ละแห่ง นอกเหนืออัตราค่าบริการแล้วมีการคิดค่าธรรมเนียมอื่นๆ อีกหรือไม่
7. บริการเสริม ผู้บริการอินเตอร์เน็ตได้มีบริการเสริมอื่นๆ ให้บริการอีกหรือไม่ เช่น มีพื้นที่ว่างสำหรับการสร้าง Homepage และมี E – mail Address ให้ด้วยหรือไม่
การติดตั้งโปรแกรมเชื่อมต่อแบบ Dial-up Connection
สำหรับ Windows XP
1. กดปุ่ม Start เลือก Control Panel จากนั้นดับเบิ้ลคลิก Network and Internet Connection
2. ดับเบิ้ลคลิก Network Connections
3.ดับเบิ้ลคลิก Create a new connection จากรายการทางด้านซ้าย
สำหรับ Windows XP แบบ Classic :
1.กดปุ่ม Start จากนั้นเลือก Control Panel
2.ดับเบิ้ลคลิก Network Connections
3.ดับเบิ้ลคลิก Create a new connection จากรายการด้านซ้าย
4.จะแสดงหน้าต่าง Welcome to the Network Connection Wizard กดปุ่ม Next
5 . เลือกรายการ Connect to The Internet จากนั้นกดปุ่ม Next
6. เลือกหัวข้อ Set Up My Connection Manually จากนั้นกดปุ่ม Next
7.เลือกหัวข้อ Connect Using A Dial-Up Modem จากนั้นกดปุ่ม Next
8. พิมพ์ชื่อที่ต้องการตั้งสำหรับการเชื่อมต่อ เช่น Rally จากนั้นกดปุ่ม Next
9. ในช่อง Phone Number to Dial พิมพ์ หมายเลขโทรศัพท์ 074316477 จากนั้นกดปุ่ม Next
10. สำหรับ On Internet Account Information
พิมพ์รหัสผ่าน ในช่อง User คือ moi
พิมพ์รหัสผ่าน ในช่อง password คือ moinet และ Confirm password
นำเครื่องหมายถูกหน้าหัวข้อ Use the account name and password when anyone connects to the Internet from this computer
ออกนำเครื่องหมายถูกหน้าหัวข้อ Make this the default Internet Connection ออก
นำเครื่องหมายถูกหน้าหัวข้อ Turn on Internet Connection Firewall for this connection จากนั้นกดปุ่ม Next
11 เสร็จสิ้นการสร้าง Internet Connection กดปุ่ม Finish จากนั้นจะพบไอคอนสำหรับเชื่อมต่อ
12 สำหรับการติดตั้งค่าเพิ่มเติม คลิกขวาที่ Connection Icon กดปุ่ม Properties
จะเห็นข้อมูลที่ได้ติดตั้งค่าไว้ในเบื้องต้น แสดงรายการโมเด็มที่ใช้งาน (หากมีโมเด็มมากกว่าหนึ่งเครื่อง จะแสดง รายการทั้งหมด) กดปุ่ม Configure
13 ตั้งค่า Maximum speed (bps) เป็น 57600 จากนั้นกดปุ่ม OK
14 เลือกหน้าต่าง Networking ในหัวข้อแรกตั้งค่า PPP: Windows 95/98/NT4/2000, Internet สำหรับส่วนที่สองสำหรับเลือก protocol
สำหรับใช้งาน เลือกหัวข้อ Internet Protocol (TCP/IP) กดปุ่ม OK จะกลับสู่ไอคอนสำหรับเชื่อมต่อ
การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
รูปแบบการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตมีอยู่ 2 แบบ ตามลักษณะการใช้งานซึ่งจะมีความเร็วและค่าใช้จ่ายแตกต่างกันไป ดังนี้
1. การเชื่อมต่อแบบส่วนบุคคล
เป็นการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ผ่านคู่สายโทรศัพท์หนึ่งเลขหมายไปยังผู้ให้บริการ (คิดค่าบริการตามจำนวนชั่วโมงในการใช้งาน) ปัจจัยที่มีผลต่อความเร็วได้แก่ สายสัญญาณโทรศัพท์ โมเด็มและความหนาแน่นของสมาชิกที่ใช้งานในขณะนั้น ผู้ใช้บริการสามารถกระจายสัญญาณไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ ให้ท่องอินเทอร์เน็ตได้ในเวลาเดียวกัน2. การเชื่อมต่อแบบองค์กร
เป็นการเชื่อมต่อที่มีความเร็วสูงกว่าแบบส่วนบุคคลและเป็นการเชื่อมต่อแบบถาวรตลอดเวลากับผู้ให้บริการด้วยสายเช่า (Lease Line) และใช้อุปกรณ์พิเศษ เช่น Digital Modem, Router ค่าใช้จ่ายจะสูงกว่าแบบส่วนบุคคล เหมาะสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีเครื่องลูกข่ายจำนวนมาก
วิธีการติดต่อเช้าระบบอินเทอร์เน็ตทำได้ 3 วิธี คือ
1. การเชื่อมต่อโดยตรง (Direct Internet Access)/b>
เป็นการเชื่อมต่อโดยตรงกับสายหลักของอินเทอร์เน็ต โดยผ่านอุปกรณ์ที่เรียกว่า Gateway ร่วมกับสายสัญญาณความเร็วสูงโดยตรงกับ InterNIC ซึ่งสามารถติดต่อกับอินเทอร์เน็ตได้ตลอดเวลา แต่เสียค่าใช้จ่ายสูง
2. การเชื่อมต่อผ่านสายโทรศัพท์ (Dial-Up Access)
เป็นการเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเพื่อเป็นทางผ่านเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ต
1. โปรแกรมระบบปฏิบัติการ จำเป็นมากสำหรับการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกชนิด เพราะจะเป็นโปรแกรมที่ทำหน้าที่จัดสรรทรัพยากรต่างๆ ในระบบในระบบ หน่วยความจำ การบันทึกข้อมูล และอุปกรณ์ต่อเชื่อมอื่นๆ
2.โปรแกรมเว็บบราว์เซอร์ คือ โปรมแกรมที่ใช้เปิดเว็บเพจต่างๆ ในอินเตอร์เน็ต โปรมแกรมนี้จะสามารถมากมายที่จะเป็นประโยชน์ในการท่องเว็บ
3.โปรแกรมรับส่งจดหมายอิแล็กทรอนิกส์ ทำหน้าที่ข้อมูลจดหมายโดยสร้างโฟลเดอร์สำหรับเก็บจดหมายไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา
4.โปรแกรมสำหรับการสื่อสารบนอินเตอร์เน็ต ใช้สำหรับการสื่อสารระหว่างผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตด้วยกัน ในรูปแบบของการพิมพ์ข้อความโต้ตอบ เรียกว่า chat
5.โปรแกรมมัลติมีเดียบนอินเตอร์เน๊ต ใช้งานบนระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตในปัจจุบันมีหลากหลายรู้แบบ ทั้งรูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว เสียง วีดีทัศน์
วิธีการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตจะใช้โมเด็มแบบหมุนโทรศัพท์ เรียกว่า “dial –up’’ ทำหน้าที่แปลงข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ในรูปแบบของดิจิทัล ให้เป็นสัญญาณเสียงในรูปแบบแอนะล็อก เพื่อส่งข้อมูลผ่านทางโทรศัพท์ ความเร็วของการส่งข้อมูลอยู่ที่ 33.6 kbps และสำหรับการรับข้อมูลอยู่ที่ 56 kbps
การรับส่งข้อมูลแบบบรอดแบนด์
1. การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบ isdn ( intergrated services digital network )
2.การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบ adsl ( asymmetric digital subscriberv link )
3.การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบเคเบิลโมเด็ม ( cable modem )
4.การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่านดาวทียม ( satellite )
5.การเชื่อต่ออินเตอร์เน็ตแบบวงจรเช่า ( leased line )1.การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบ isdn
ถ้าต้องการใช้ระบบ isdn จะต้องขอหมายเลขโทรศัพท์ใหม่ที่เป็น isdn การให้บริการ isdn แบ่งออกเป็น 2 ระดับ
Bai สำหรับผู้ใช้รายย่อย ตามบ้านพัก หรือหน่วยงานขนาดเล็ก มีความเร็วเต็มที่ 128 mbps
Pri สำหรับองค์กรขนาดใหญ่โดยการเดินสายเคเบิลใยแก้วนำแสง จะมีช่องสัญญาณสำหรับการสื่อสาร 30 ช่องสัญญาณ แต่ละช่องมีความเร็วที่ 64 kbps2.การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบ adsl การบริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงโดยผ่านทาง สามารถ ใช้กับการเชื่อมต่อผ่านทางสายโทรศัพท์แบบเดิม สามารถเปลี่ยนสายโทรศัพท์ธรรมดาให้เป็นสายดิจิทัล มีความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูง
3.การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบเคเบิลโมเด็ม มีความเร็วสูงที่ไม่ต้องใช้สายโทรศัพท์ อาศัยเครือข่ายเคเบิลจากผู้ให้บริการ ถ้าต้องการใช้บริการแบบเคเบิลโมเด็มจะต้องใช้บริการของ asia net การทำงานของเคเบิลโมเด็มจะคล้ายกับ adsl มีการเข้ารหัสสัญญาณดิจิทัลด้วยความถี่สูง แล้วส่งผ่านสายเคเบิลไปยัง ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต กรณีนี้สายโคแอกเซียลทำให้สามารถรับส่งข้อมูลได้ด้วยความเร็วสูง
4.การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่านดาวเทียม
เป็นบริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง มีผู้ให้บริการเพียงรายเดียว cs internet ในเครือชินคอร์ปอเรชั่นเจ้าของดาวเทียมไทยคม การรัยข้อมูลด้วยสัญญาณความเร็วสูงมามายังผู้ใช้ในระดับเมกะบิตผ่านดาวเทียมโดยผู้ใช้จะต้องติดตั้งจานรับสัญญาณดาวเทียม ส่วนการส่งข้อมูล ทำการผ่านทางโมเด็มและสายโทรศัพท์มีความเร็วแค่ 56 kbps การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่านดาวเทียม เป็นช่องทางที่ถูกรบกวนได้ง่ายจากสภาพดินฟ้าอากาศควรเตรียมช่องทางอื่นในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตไว้สำรองในการใช้งาน5.การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบวงจรเช่า
การเชื่อมเอนเตอร์แบบ leased line จะเหมาะกับการใช้งานสำหรับองค์กร สถาบันการศึกษา หรือระบบธุรกิจต่างๆที่มีผู้บริการเอนเตอร์เน็ตเป็นจำนวนมาก โดยไม่ต้องหมุนโทรศัพท์เข้าไปยังศูนย์บริการอินเตอร์เน็ตเพราะการเชื่อมแบบ leased line จะเชื่อมกับเครือข่ายอินเตอร์เน็ตตลอด 24 ชั่วโมง
ค่าใช้จ่ายในการเช่าต้องเป็นรายเดือน โดยจะเสียค่าบริการตามความเร็วที่เช่าสายสัญญาณเป็นอัตราเดียวกันทุกเดือน และไม่ต้องเสียค่าบริการตามชั่วโมงการใช้งานอีก
ในองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีผู้ใช้บริการเอนเตอร์เน็ตจำนวนมาก จะนิยมการเชื่อมต่อเอนเตอร์เน็ตแบบนี้ เพราะสามารถใช้งานเอนเตอร์เน็ตได้โดยไม่จำกัดปริมาณการงาน โดยเฉพาะสถาบันการศึกษาต่างๆ จะต้องให้บริการแก่นักเรียน นักศึกษา และบุคลากรในหน่วยงาน
การเลือกให้ผู้บริการเอนเตอร์เน็ต (isp)โดยมีวิธีหลักการที่ต้องคำนึง ดังต่อไปนี้
1. ความน่าเชื่อถือ ควรจะพิจารณาว่าผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตบริษัทนั้นมีความน่าถือในการให้บริการมากน้อยเพียงใด ซึ่งจะสามารถหาข้อมูลได้โดยการสอบถามจากผู้เคยใช้บริการโดยตรง
2. ประสิทธิภาพของระบบ โดยพิจารณาจากความเร็วใยการรับส่งข้อมูล การเชื่อมต่อกับสายโทรศัพท์หลุดบ่อยหรือไม่ หรือในขณะที่เรากำลังทำการโอนย้ายข้อมูล และเกิดสายโทรศัพท์หลุดก็จะทำให้เราต้องเสียเวลาในการโอนย้ายข้อมูลใหม่
3. หมายเลขโทรศัพท์ ผู้ให้บริการเอนเตอร์เน้ตจะต้องมีช่องทางให้กับบริการด้วยโมเด็ม ดังนั้นจำนวนผู้บริการจะต้องสำพันธ์กับหมายเลขโทรศัพท์ที่จัดหาไว้
4. อัตราการใช้โมเด็ม ผู้ให้บริการเอนเตอร์เน็ตจะต้องมีคู่สายโมเด็มเพียงพอต่อการรองรับการใช้บริการของลูกค้า
5. ค่าบริการ โดยเราเลือกซื้อตามปริมาณการใช้งานของเราได้เพื่อให้คุ้มค่าต่อปริมาณค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายไป
6. ค่าธรรมเนียมต่างๆ พิจารณาว่าผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตแต่ละแห่ง นอกเหนืออัตราค่าบริการแล้วมีการคิดค่าธรรมเนียมอื่นๆ อีกหรือไม่
7. บริการเสริม ผู้บริการอินเตอร์เน็ตได้มีบริการเสริมอื่นๆ ให้บริการอีกหรือไม่ เช่น มีพื้นที่ว่างสำหรับการสร้าง Homepage และมี E – mail Address ให้ด้วยหรือไม่
การติดตั้งโปรแกรมเชื่อมต่อแบบ Dial-up Connection
สำหรับ Windows XP
1. กดปุ่ม Start เลือก Control Panel จากนั้นดับเบิ้ลคลิก Network and Internet Connection
2. ดับเบิ้ลคลิก Network Connections
3.ดับเบิ้ลคลิก Create a new connection จากรายการทางด้านซ้าย
สำหรับ Windows XP แบบ Classic :
1.กดปุ่ม Start จากนั้นเลือก Control Panel
2.ดับเบิ้ลคลิก Network Connections
3.ดับเบิ้ลคลิก Create a new connection จากรายการด้านซ้าย
4.จะแสดงหน้าต่าง Welcome to the Network Connection Wizard กดปุ่ม Next
5 . เลือกรายการ Connect to The Internet จากนั้นกดปุ่ม Next
6. เลือกหัวข้อ Set Up My Connection Manually จากนั้นกดปุ่ม Next
7.เลือกหัวข้อ Connect Using A Dial-Up Modem จากนั้นกดปุ่ม Next
8. พิมพ์ชื่อที่ต้องการตั้งสำหรับการเชื่อมต่อ เช่น Rally จากนั้นกดปุ่ม Next
9. ในช่อง Phone Number to Dial พิมพ์ หมายเลขโทรศัพท์ 074316477 จากนั้นกดปุ่ม Next
10. สำหรับ On Internet Account Information
พิมพ์รหัสผ่าน ในช่อง User คือ moi
พิมพ์รหัสผ่าน ในช่อง password คือ moinet และ Confirm password
นำเครื่องหมายถูกหน้าหัวข้อ Use the account name and password when anyone connects to the Internet from this computer
ออกนำเครื่องหมายถูกหน้าหัวข้อ Make this the default Internet Connection ออก
นำเครื่องหมายถูกหน้าหัวข้อ Turn on Internet Connection Firewall for this connection จากนั้นกดปุ่ม Next
11 เสร็จสิ้นการสร้าง Internet Connection กดปุ่ม Finish จากนั้นจะพบไอคอนสำหรับเชื่อมต่อ
12 สำหรับการติดตั้งค่าเพิ่มเติม คลิกขวาที่ Connection Icon กดปุ่ม Properties
จะเห็นข้อมูลที่ได้ติดตั้งค่าไว้ในเบื้องต้น แสดงรายการโมเด็มที่ใช้งาน (หากมีโมเด็มมากกว่าหนึ่งเครื่อง จะแสดง รายการทั้งหมด) กดปุ่ม Configure
13 ตั้งค่า Maximum speed (bps) เป็น 57600 จากนั้นกดปุ่ม OK
14 เลือกหน้าต่าง Networking ในหัวข้อแรกตั้งค่า PPP: Windows 95/98/NT4/2000, Internet สำหรับส่วนที่สองสำหรับเลือก protocol
สำหรับใช้งาน เลือกหัวข้อ Internet Protocol (TCP/IP) กดปุ่ม OK จะกลับสู่ไอคอนสำหรับเชื่อมต่อ
การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
รูปแบบการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตมีอยู่ 2 แบบ ตามลักษณะการใช้งานซึ่งจะมีความเร็วและค่าใช้จ่ายแตกต่างกันไป ดังนี้
1. การเชื่อมต่อแบบส่วนบุคคล
เป็นการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ผ่านคู่สายโทรศัพท์หนึ่งเลขหมายไปยังผู้ให้บริการ (คิดค่าบริการตามจำนวนชั่วโมงในการใช้งาน) ปัจจัยที่มีผลต่อความเร็วได้แก่ สายสัญญาณโทรศัพท์ โมเด็มและความหนาแน่นของสมาชิกที่ใช้งานในขณะนั้น ผู้ใช้บริการสามารถกระจายสัญญาณไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ ให้ท่องอินเทอร์เน็ตได้ในเวลาเดียวกัน2. การเชื่อมต่อแบบองค์กร
เป็นการเชื่อมต่อที่มีความเร็วสูงกว่าแบบส่วนบุคคลและเป็นการเชื่อมต่อแบบถาวรตลอดเวลากับผู้ให้บริการด้วยสายเช่า (Lease Line) และใช้อุปกรณ์พิเศษ เช่น Digital Modem, Router ค่าใช้จ่ายจะสูงกว่าแบบส่วนบุคคล เหมาะสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีเครื่องลูกข่ายจำนวนมาก
วิธีการติดต่อเช้าระบบอินเทอร์เน็ตทำได้ 3 วิธี คือ
1. การเชื่อมต่อโดยตรง (Direct Internet Access)/b>
เป็นการเชื่อมต่อโดยตรงกับสายหลักของอินเทอร์เน็ต โดยผ่านอุปกรณ์ที่เรียกว่า Gateway ร่วมกับสายสัญญาณความเร็วสูงโดยตรงกับ InterNIC ซึ่งสามารถติดต่อกับอินเทอร์เน็ตได้ตลอดเวลา แต่เสียค่าใช้จ่ายสูง
2. การเชื่อมต่อผ่านสายโทรศัพท์ (Dial-Up Access)
เป็นการเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเพื่อเป็นทางผ่านเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ต
3. การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบไร้สาย (Wireless Internet) มีวิธีการหลากหลาย ได้แก่
การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบไร้สายผ่านเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ PCT เป็นการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านคอมพิวเตอร์ Note book และคอมพิวเตอร์แบบพกพา (Pcoket PC) ผู้ใช้จะต้องมี โมเด็ม ชนิด PCMCIA ของ PCT ซึ่งทำให้ผู้ใช้สามารถใช้อินเทอร์ไร้สายได้ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
การใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือโดยตรง (Mobile Internet) เช่น
* WAP (Wireless Application Protocal)
* GPRS(General Packet Radio Service)
* CDMA (Code Division Multiple Access)
* BLUETOOTH TECHNOLOGY
การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตด้วยเครื่อง Palm และ Notebook ผ่านโทรศัพท์มือถือที่สนับสนุนระบบ GPRS ซึ่งโทรศัพท์ที่สนับสนุนระบบ GPRS จะทำหน้าที่เสมือนเป็นโมเด็มให้กับอุปกรณ์ที่นำมาต่อพ่วง
การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบไร้สายผ่านเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ PCT เป็นการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านคอมพิวเตอร์ Note book และคอมพิวเตอร์แบบพกพา (Pcoket PC) ผู้ใช้จะต้องมี โมเด็ม ชนิด PCMCIA ของ PCT ซึ่งทำให้ผู้ใช้สามารถใช้อินเทอร์ไร้สายได้ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
การใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือโดยตรง (Mobile Internet) เช่น
* WAP (Wireless Application Protocal)
* GPRS(General Packet Radio Service)
* CDMA (Code Division Multiple Access)
* BLUETOOTH TECHNOLOGY
การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตด้วยเครื่อง Palm และ Notebook ผ่านโทรศัพท์มือถือที่สนับสนุนระบบ GPRS ซึ่งโทรศัพท์ที่สนับสนุนระบบ GPRS จะทำหน้าที่เสมือนเป็นโมเด็มให้กับอุปกรณ์ที่นำมาต่อพ่วง
การยกเลิกการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
ถ้าคุณใช้การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านสายโทรศัพท์ คุณต้องยกเลิกการเชื่อมต่อทุกครั้งที่เสร็จสิ้นการใช้อินเทอร์เน็ต ถ้าคุณใช้การเชื่อมต่อแบบบรอดแบนด์ คุณจะเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอยู่เสมอ ไม่ว่าจะใช้เว็บหรือไม่ก็ตาม ดังนั้นเมื่อคุณปิดเว็บเบราว์เซอร์ คอมพิวเตอร์ของคุณจะยังคงเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอยู่
การยกเลิกการเชื่อมต่อจากการเชื่อมต่อผ่านสายโทรศัพท์
คลิกไอคอน การเชื่อมต่อ ในพื้นที่แจ้งให้ทราบ ให้คลิกชื่อการเชื่อมต่อ แล้วคลิก ยกเลิกการเชื่อมต่อ
การปิดใช้งานการเชื่อมต่อแบบบรอดแบนด์
แม้ว่าการเชื่อมต่อแบบบรอดแบนด์จะเปิดอยู่เสมอ แต่ในบางครั้งคุณอาจจำเป็นต้องปิดใช้งานเพื่อการแก้ไขปัญหา
เปิด 'การเชื่อมต่อเครือข่าย' ด้วยการคลิกปุ่ม เริ่ม แล้วคลิก แผงควบคุม ในกล่องค้นหา ให้พิมพ์ อะแดปเตอร์ จากนั้นภายใต้ 'ศูนย์เครือข่ายและการใช้ร่วมกัน' ให้คลิก ดูการเชื่อมต่อเครือข่าย
คลิกขวาที่การเชื่อมต่อแบบบรอดแบนด์ แล้วคลิก ปิดใช้งาน ถ้าคุณได้รับพร้อมท์ให้ใส่รหัสผ่านของผู้ดูแลหรือการยืนยัน ให้พิมพ์รหัสผ่านหรือทำการยืนยัน
ถ้าคุณใช้การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านสายโทรศัพท์ คุณต้องยกเลิกการเชื่อมต่อทุกครั้งที่เสร็จสิ้นการใช้อินเทอร์เน็ต ถ้าคุณใช้การเชื่อมต่อแบบบรอดแบนด์ คุณจะเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอยู่เสมอ ไม่ว่าจะใช้เว็บหรือไม่ก็ตาม ดังนั้นเมื่อคุณปิดเว็บเบราว์เซอร์ คอมพิวเตอร์ของคุณจะยังคงเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอยู่
การยกเลิกการเชื่อมต่อจากการเชื่อมต่อผ่านสายโทรศัพท์
คลิกไอคอน การเชื่อมต่อ ในพื้นที่แจ้งให้ทราบ ให้คลิกชื่อการเชื่อมต่อ แล้วคลิก ยกเลิกการเชื่อมต่อ
การปิดใช้งานการเชื่อมต่อแบบบรอดแบนด์
แม้ว่าการเชื่อมต่อแบบบรอดแบนด์จะเปิดอยู่เสมอ แต่ในบางครั้งคุณอาจจำเป็นต้องปิดใช้งานเพื่อการแก้ไขปัญหา
เปิด 'การเชื่อมต่อเครือข่าย' ด้วยการคลิกปุ่ม เริ่ม แล้วคลิก แผงควบคุม ในกล่องค้นหา ให้พิมพ์ อะแดปเตอร์ จากนั้นภายใต้ 'ศูนย์เครือข่ายและการใช้ร่วมกัน' ให้คลิก ดูการเชื่อมต่อเครือข่าย
คลิกขวาที่การเชื่อมต่อแบบบรอดแบนด์ แล้วคลิก ปิดใช้งาน ถ้าคุณได้รับพร้อมท์ให้ใส่รหัสผ่านของผู้ดูแลหรือการยืนยัน ให้พิมพ์รหัสผ่านหรือทำการยืนยัน
โปรแกรมบราวเซอร์
โปรแกรมบราวเซอร์ (Browser)
เว็บบราวเซอร์ (web browser) หรือ โปรแกรมค้นดูเว็บ คือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่ ผู้ใช้สามารถดูข้อมูลและโต้ตอบกับข้อมูลสารสนเทศที่จัดเก็บในหน้าเว็บที่สร้างด้วยภาษาเฉพาะ เช่น ภาษาเอชทีเอ็มแอล (HTML)ที่จัดเก็บไว้ที่ระบบบริการเว็บหรือเว็บเซิร์ฟเวอร์หรือระบบคลังข้อมูลอื่น ๆ โดยโปรแกรมค้นดูเว็บเปรียบเสมือนเครื่องมือในการติดต่อกับ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เรียกว่าเวิลด์ไวด์เว็บ
ในระยะเริ่มต้นนั้นโปรแกรมบราวเซอร์ได้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ดูเอกสารของ เครือข่ายเวิลด์ไวด์เว็บเป็นหลัก จึงทำให้ผู้ใช้จำนวนมากเข้าใจว่าโปรแกรมบราวเซอร์กับโปรแกรมเรียกใช้บริการของเว็บเป็นสิ่งเดียวกัน แต่ในปัจจุบันโปรแกรมบราวเซอร์ได้ขยายขีดความสามารถมากขึ้นเรื่อย ๆ จนสามารถใช้เรียกบริการต่าง ๆ บนอินเทอร์เน็ตได้แทบทุกชนิด โดยการระบุชื่อโพรโตคอลของบริการต่าง ๆ นำหน้าตำแหน่งที่อยู่ (address หรือชื่อ โดเมนของเครื่องบวกกับชื่อไฟล์บริการของบริการ) ที่ต้องการ เช่น
http://www.netscape.comhttp://www.cnn.com/welcome.htm
gopher://gopher.tc.umn.edu
ftp://ftp.nectec.or.th/pub/pc
file://C:/WINDOWS/Modem.txt
โพรโตคอล http ที่อยู่คือเครื่อง www.netscape.com
โพรโตคอลhttp ที่อยู่คือเครื่อง www.cnn.com แฟ้ม welcome.htm
โพรโตคอลgopher ที่อยู่คือเครื่อง gopher.tc.cum.edu
โพรโตคอล ftp ที่อยู่คือเครื่อง ftp.nectec.or.th และราก /pub/pc
โพรโตคอลfile ที่อยู่คือฮาร์ดดิสก์ c:\WINDOWS แฟ้ม Modem.txt
เครื่องหมาย :// จะเป็นชนิดของโพรโตคอล และข้อความด้านหลังจะเป็นที่อยู่ของบริการนั้น ๆ (หากไม่ได้ระบุชื่อแฟ้มไว้ด้านหลังชื่อเครื่องโดยใช้ / คั่น จะเป็นการใช้ชื่อแฟ้มเริ่มต้นโดยปริยาย (default) ของเครื่องนั้น) การระบุโพรโตคอลพร้อมที่อยู่เช่นนี้เรียกว่า URL (Uniform Resource Locator) ซึ่งความหมายก็คือการใช้รูปแบบเดียวในการหาทรัพยากรต่าง ๆ นั้นเอง นอกจากนี้ ในตัวอย่างสุดท้ายจะเห็นได้ว่าโปรแกรมบราวเซอร์สามารถใช้ในการเปิดแฟ้มที่อยู่ในฮาร์ดดิสก์ของผู้ใช้ได้เสมือนกับเป็นบริการหนึ่งในอินเทอร์เน็ต นั่นคือโปรแกรมบราวเซอร์มีแนวโน้มที่ชัดเจนว่ากำลังพยายามทำตัวเป็นเปลือก (shell)ที่ครอบอยู่เหนือระบบปฏิบัติการอีกชั้นหนึ่ง อันจะทำให้ผู้ใช้สามารถใช้งานบริการต่าง ๆ ได้กับ เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกประเภท โดยไม่ต้องกังวลถึงความแตกต่างของฮาร์ดแวร์หรือระบบปฏิบัติการอีกต่อไป
โปรแกรมบราวเซอร์ระยะแรก ๆ จะเป็นข้อความ (text) ทำให้ไม่ได้รับความนิยม แต่เมื่อห้องปฏิบัติการ CERN ออกโปรแกรม MOSAIC ซึ่งเป็นบราวเซอร์ที่ใช้ ระบบการติดต่อ ผู้ใช้แบบกราฟฟิก (GUI) ตัวแรก ก็ทำให้โปรแกรมบราวเซอร์ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่มีความรู้ทางคอมพิวเตอร์มากนัก เนื่องจากระบบการติดต่อกับผู้ใช้แบบกราฟฟิก ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้งานบริการต่าง ๆ ในอินเทอร์เน็ตได้อย่างง่ายดายด้วยการชี้แล้วเลือก (point and click) โดยแทบจะไม่ต้องใช้แป้นพิมพ์เลย รวมทั้งบราวเซอร์กราฟฟิกยังทำให้สามารถสร้างเวบเพจที่มีสีสันและรูปภาพสวยงาม อันเป็น การดึงดูดใจให้มีผู้นิยมใช้งานมากขึ้นเรื่อย ๆ
อย่างไรก็ดี ในปัจจุบัน MOSAIC ไม่ได้มีการพัฒนาต่อแล้ว เนื่องจากห้องปฏิบัติการ CERN ไม่ได้เป็นหน่วยงานที่หวังผลกำไร การพัฒนาเป็นการพัฒนา MOSAIC เพื่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเท่านั้น บราวเซอร์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบันก็คือบราวเซอร์ที่เป็นแชร์แวร์ จาก Netscape คือโปรแกรม Netscape Communicator ส่วนอันดับ 2 คือ บราวเซอร์ฟรีแวร์จาก Microsoft คือโปรแกรม Internet Explorer (IE) ซึ่งบราวเซอร์จากทั้ง 2 บริษัทได้มีการขยายขีดความสามารถใหม่ ๆ มากมาย เช่น การใช้จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (e-mail) การใช้งานกลุ่มข่าว (newsgroup) การประชุมทางไกล (video conference) การสร้างเว็บเพจ (web authoring) ตลอดจนการดูภาพแบบสามมิติ (VRML) เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขยายขีดความสามารถในการแทนที่ระบบปฏิบัติการ และการเพิ่มเทคโนโลยีการผลัก (push) ข้อมูล ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่จะไม่รอให้ผู้ใช้เป็นฝ่ายเรียกเข้าอินเทอร์เน็ตเพื่อดึง (pull) ข้อมูล แต่จะส่ง (push) ข้อมูลที่ผู้ใช้ต้องการ (เช่น ข่าวต่าง ๆ) มายังเครื่องผู้ใช้

รายชื่อโปรแกรมบราวเซอร์ที่เป็นที่นิยม
อินเทอร์เน็ตเอกซ์พลอเรอร์ (Internet Explorer) โดยบริษัทไมโครซอฟต์
มอสซิลลา ไฟร์ฟอกซ์ (Mozilla Firefox) โดยมูลนิธิมอสซิลลา
เน็ตสเคป นาวิเกเตอร์ (Netscape Navigator) โดยบริษัทเน็ตสเคป
ซาฟารี (Safari) โดยบริษัทแอปเปิล คอมพิวเตอร์
โอเปร่า (Opera) โดยบริษัทโอเปร่า ประเทศนอร์เวย์
คามิโน
แมกซ์ทอน
ประเภทของโมเด็ม
ประเภทของโมเด็ม
โมเด็มสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ
I. การแบ่งโมเด็มตามรูปร่างและลักษณะการใช้งาน แบ่งออกได้เป็น 3 แบบ คือ
1 . โมเด็มแบบติดตั้งภายใน (Internal Modem)
โมเด็มชนิดนี้ มีรูปร่างเป็นแผงวงจรนำมา เสียบเข้ากับตัวเครื่องคอมพิวเตอร์โดยตรง โมเด็มชนิดนี้จะใช้กำลังไฟฟ้าจากเครื่องคอมพิวเตอร์โดยตรง จึงไม ? จำเป็นต้องจัดหาแหล่งจ่ายไฟฟ้าเพิ่มเติม ส่วนมากโมเด็มติดตั้งภายในจะทำการติดตั้งผ่านพอร์ตอนุกรม RS-232C รวมอยู่ด้วย การเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์กับโมเด็มจะต่อผ่านแผงวงจรที่ออกแบบไว้ เช่น ผ่านทางสล็อต หรือผ่านแผงเสียบ

รูปแสดงโมเด็มแบบติดตั้งภายใน
ข้อดี ของโมเด็มแบบติดตั้งภายใน
1. ไม่ เปลืองเนื้อที่
2. ไม่ ต้องใช้พอร์ตอนุกรม
3. ราคาถูกกว่าโมเด็มชนิดภายนอกเพราะไม่ ต้องมีกล้องหรือการห่อหุ้มโมเด็ม
4. มีชิป UART (Universal Asynchronous Receiver - transmitter) เป็นชิปรุ่นใหม่ที่ทำหน้าควบคุมการรับ-ส่งข้อมูลผ่านพอร์ตอนุกรมของโมเด็มกับพีชี ให้รับส่งข้อมูลได้ รวดเร็วและมีความผิดพลาดของข้อมูลน้อยลง
ข้อเสีย ของโมเด็มแบบติดตั้งภายใน
1. ไม่มีสัญญาณไฟบอกสถานะของการทำงาน
2. ติดตั้งยากกว่าแบบภายนอก
3. ไม่สะดวกในการเคลื่อนย้ายไปใช้เครื่องอื่น
4. ติดตั้งได้เฉพาะเครื่องคอมแบบ PC เท่านั้นไม่สามารถใช้งานกับ Notebook ได้
2 . โมเด็มชนิดติดตั้งภายนอก (External Modem)
โมเด็มชนิดนี้มีรูปร่างเป็นกล่องสี่เหลี่ยมแบนๆ ภายในมีแหล่งจ่ายไฟ วงจรโมเด็ม ลำโพง และข้อต่อแบบ 25 ขา (DB-25) เอาไว้เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ผ่านทางพอร์ตอนุกรม RS-232C โมเด็มแบบติดตั้งภายนอกจะต่อเข้ ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ชนิดใดก็ได้ ไม่ จำกัดเหมือนอย่างโมเด็มชนิดติดตั้งภายใน ด้านหน้าของโมเด็มจะมีไฟสีแดงแสดงสถานการณ์ทำงานต่าง ๆ ครบถ้วน เพื่อแสดงการของตัวโมเด็มเอง และสัญญาณการเชื่อมต่อของ RS-232C ไฟแสดงสถานการณ์ทำงานนี้ช่วยให้การใช้โมเด็มสะดวกยิ่งขึ้น สามารถหาข้อผิดพลาดได้ ง่าย

รูปแสดงโมเด็มแบบติดตั้งภายนอก
ข้อดี ของโมเด็มแบบติดตั้งภายนอก
1. มีสวิตซ์ปิด-เปิดภายนอก
2. ติดตั้งได้ ง่าย
3. มีไฟแสดงสถานการทำงาน
4. สามารถเคลื่อนย้ายไปใช้กับเครื่องอื่นได้ง่าย
5 . สามารถใช้งานกับเครื่อง Notebook ได้เนื่องจากต่อกับ Serial Port หรือ Parallel Port
ข้อเสีย ของโมเด็มแบบติดตั้งภายนอก
1. มีราคาแพง
2. ใช้พอร์ตอนุกรม
3. เปลืองเนื้อที่บนโต๊ ะ ต้องใช่เนื้อที่ในการวางโมเด็มด้วย
4. เกิดปัญหาจากสายต่อได ้ ง่าย
นอกจากนี้ทั้งโมเด็มแบบติดตั้งภายในและโมเด็มแบบติดตั้งภายนอก ยังสามารถแบ่ ง
ออกเป็น 2 ชนิด ได้ แก่
• โมเด็มแบบ Serial เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้ต่อกับคอมพิวเตอร์ผ่าน COM Port โดยใช้สายสัญญาณ และมีอะแด็ปเตอร์ (Adapter) เพื่อทำหน้าที่แปลงไปจากกระแสสลับเป็นกระแสตรงและจ่ายให้กับโมเด็ม
• โมเด็มแบบ UBS เป็นโมเด็มที่ใช้ต่อกับคอมพิวเตอร์ผ่านทางพอร์ต USB โดยใช้สาย USB โมเด็มชนิดนี้จะใช้ไปจากพอร์ต USB โดยตรงจึงไม่ต้องต่ออะแด็ปเตอร์
3. โมเด็มแบบการ์ด PCMCIA
โมเด็ม PCMCIA (Personal Computer Memory Card International Asociation) เป็นโมเด็มที่ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพา ซึ่งเป็นโมเด็มที่มีขนาดเล็กที่สุด มีขนาดเท่ากับบัตรเครดิต ได้รับการออกแบบเพื่อใช้กับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก ส่วนประกอบของโมเด็มชนิดนี้จะมีลักษณะคล้ายกับโมเด็มติดตั้งภายในเป็นโมเด็มที่ใช้งานกับเครื่องโน้ตบุ๊ก จะมีลักษณะเป็นการ์ดที่ใช้เสียบเข้ากับช่อง PCMCIA

รูปแสดงโมเด็มแบบการ์ด PCMIA
II. การแบ่งโมเด็มตามการต่อเชื่อมสัญญาณ แบ่งออก ได้เป็น 2 แบบ คือ
1 . โมเด็มที่ใช้กับสายตรง (Lease Line)
โมเด็มที่ใช้กับสายตรงหรือสายเช่าจะส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงจนถึงสูงมาก (9600 bps จนถึง 2000000 bps) ผ่านสายที่ลากตรงไปยังจุดหมายปลายทางตายตัว ซึ่งเป็นการติดต่อในลักษณะจุดถึงจุด (Point to Point) จะต่อไปยังจุดอื่นๆไม ? ได ? ส ? วนมากจะเป็นการใช้ติดต่อส่งข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ข้อมูลส่งไปมาเป็นจำนวนมาก เช่น เครือข่าย ATM ของธนาคาร การส่งข้อมูลมักจะเป็นกลุ่มและมีซอฟแวร์ควบคุมการส่งโดยเฉพาะ เรียกว่า การรับส่งข้อมูลแบบ Synchronous
ข้อดี ของโมเด็มที่ใช้กับสายตรง คือ สามารถส่งข้อมูลได ? ที่ความเร็วสูง เนื่องจากสายส่งมีคุณภาพดี
เหมาะกับงานส่งข้อมูลจำนวนมากระหว่างจุดสองจุด
ข้อเสีย ของโมเด็มที่ใช้กับสายตรง คือ ไม ? สามารถเปลี่ยนจุดรับข้อมูลไปตามที่ต่างๆได ? จึงขาดความคล ? องตัว
2. โมเด็มแบบใช้กับสายโทรศัพท์ (Dial-up Line)
โมเด็มแบบนี้จะรับส่งข้อมูลด้วยความเร็วตั้งแต่ 300 bps จนถึง 56,000 bps ผ่านเครือข่ายโทรศัพท์ที่ใช้กันอยู่ สามารถรับส่งข้อมูลไปยังที่ต่างๆได ? ตามต้องการ การรับส่งข้อมูลจะเป็นการรับส่งทีละหนึ่งตัวอักษร ไม ่ ส่งเป็นกลุ่ม เรียกว่า รับส่งแบบ Asynchronous ซึ่งปกติ แล ? วจะรับส่งข้อมูลผ่านสายโทรศัพท์ด้วยความเร็ว 9,600 bps ถึง 28,800 bps เท ? านั้น ความเร็วสูงสุดที่เชื่อถือได ? ในการรับส่งข้อมูลของโมเด็มคือ 28,800 bps
ข้อดี ของโมเด็มแบบใช้กับสายโทรศัพท์ คือ มีความคล่องตัวสูงสามารถรับข้อมูลไปยังที่ต่างๆได้ไม่จำกัด และไม่จำเป็นต้องจัดหาวงจรสายตรงมาเป็นพิเศษเพื่อส่งข้อมูล
ข้อเสีย ของโมเด็มแบบใช้กับสายโทรศัพท์ คือ ความเร็วในการส่งข้อมูลต่ำกว่าโมเด็มแบบสายตรง และถ้ารับข้อมูลเป็นจำนวนมากไปยังจุดปลายทางเดียวกันในระยะไกลค่าโทรศัพท์ทางไกลอาจจะแพงกว่าการเช่าวงจรสายตรงมาใช้ก็ได้
ปัจจุบันโมเด็มบางรุ่นอาจทำงานได้เฉพาะกับสายตรงหรือสายโทรศัพท์เท่านั้น โมเด็มที่ใช้งานได้ทั้งสองอย่างซึ่งมักจะมีราคาแพงกว่าโมเด็มที่ใช้กับสายโทรศัพท์เพียงอย่างเดียว ถ้าการใช้งานไม่ใช่การต่อกับพีซีเข้ากับเครื่องเมนเฟรมหรือเครื่องมินิคอมพิวเตอร์แล้วละก็การใช้โมเด็มแบบต่อกับสายโทรศัพท์ได้อย่างเดียวก็นับว่าเพียงพอแล้วสำหรับส่งข้อมูลทั่วไป
III. การแบ่งโมเด็มตามความเร็วในการส่งข้อมูล แบ่งออกได้เป็น 4 แบบ คือ
1 . โมเด็มความเร็วต่ำ (LOW - SPEED MODEM )
เป็นโมเด็มที่รับส่งข้อมูลได ? เพียง 30 ถึง 480 ตัวอักษรต่อวินาที และใช้การผสมสัญญาณแบบเปลี่ยนความถี่ (Frequency Shift Keying – FSK) แทนค่าข้อมูลด้วย “0” และ “1” โดยที่แทนข้อมูล “1” ด้วยความถี่ต่ำ แทนข้อมูล “0” ด้วยความถี่สูง
2. โมเด็มความเร็วปานกลาง (MEDIUM - SPEED MODEM)
เป็นโมเด็มที่มีความเร็วในการส่งข้อมูลประมาณ 9,600 ถึง 14,400 บิตต่อวินาที มีฟังก์ชั่นการทำงานพิเศษมากมาย เช่น การหมุนโทรศัพท์อัตโนมัติ และการปรับจำนวนบิตที่รับส่งข้อมูลอัตโนมัติ เป็นต้น โมเด็มความเร็วปานกลางนี้ ใช้เทคนิคการผสมสัญญาณโดยเปลี่ยนแปลงมุมของช่วงคลื่น (Phase) และขนาดของสัญญาณ (Amplitude) ไปพร้อมๆ กันสามารถรับส่งข้อมูลได ้ทั้ง งแบบสองทิศทาง Full Duplex และแบบทิศทางเดียว Half Duplex
3. โมเด็มความเร็วสูง (HIGH - SPEED MODEM)
เป็นโมเด็มที่มีความเร็วในการับ ส่งข้อมูลตั้งแต่ 19,200 ถึง 28,800 บิตต่อวินาที หรือสูงกว่านั้น ใช้ฮาร์ดแวร์พิเศษ และมีการผสมสัญญาณที่ซับซ้อน และยังสามารถรับส่งในแบบสองทิศทาง Full Duplex ส่วนฟังก์ชั่นการทำงานต่างๆ ของโมเด็มความเร็วสูงมีความใกล้เคียงกับโมเด็มความเร็วปานกลาง
4. โมเด็มความเร็วสูงพิเศษ
ได้รับการออกแบบมาเมื่อประมาณ พ . ศ .2539 นี้เนื่องจากการรับส่งข้อมูลมีจำนวนมาก ต้องการใช้การดาวน์โหลดข้อมูลจำนวนมาก เช่น ข้อมูลมัลติมีเดีย ภาพ เสียง ข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต การนำโมเด็มความเร็วสูงมาใช้จะต้องมีองค์ประกอบ คือ โทรศัพท์ และระบบชุมสายโทรศัพท์ที่สามารถรับการส่งสัญญาณดิจิทัลได้ โมเด็มความเร็วสูงมีความเร็วในการรับส่งข้อมูลประมาณ 56 kbps หรือ 56,000 บิตต่อวินาที
ข้อเสีย ของโมเด็มแบบใช้กับสายโทรศัพท์ คือ ความเร็วในการส่งข้อมูลต่ำกว่าโมเด็มแบบสายตรง และถ้ารับข้อมูลเป็นจำนวนมากไปยังจุดปลายทางเดียวกันในระยะไกลค่าโทรศัพท์ทางไกลอาจจะแพงกว่าการเช่าวงจรสายตรงมาใช้ก็ได้
ปัจจุบันโมเด็มบางรุ่นอาจทำงานได้เฉพาะกับสายตรงหรือสายโทรศัพท์เท่านั้น โมเด็มที่ใช้งานได้ทั้งสองอย่างซึ่งมักจะมีราคาแพงกว่าโมเด็มที่ใช้กับสายโทรศัพท์เพียงอย่างเดียว ถ้าการใช้งานไม่ใช่การต่อกับพีซีเข้ากับเครื่องเมนเฟรมหรือเครื่องมินิคอมพิวเตอร์แล้วละก็การใช้โมเด็มแบบต่อกับสายโทรศัพท์ได้อย่างเดียวก็นับว่าเพียงพอแล้วสำหรับส่งข้อมูลทั่วไป
III. การแบ่งโมเด็มตามความเร็วในการส่งข้อมูล แบ่งออกได้เป็น 4 แบบ คือ
1 . โมเด็มความเร็วต่ำ (LOW - SPEED MODEM )
เป็นโมเด็มที่รับส่งข้อมูลได ? เพียง 30 ถึง 480 ตัวอักษรต่อวินาที และใช้การผสมสัญญาณแบบเปลี่ยนความถี่ (Frequency Shift Keying – FSK) แทนค่าข้อมูลด้วย “0” และ “1” โดยที่แทนข้อมูล “1” ด้วยความถี่ต่ำ แทนข้อมูล “0” ด้วยความถี่สูง
2. โมเด็มความเร็วปานกลาง (MEDIUM - SPEED MODEM)
เป็นโมเด็มที่มีความเร็วในการส่งข้อมูลประมาณ 9,600 ถึง 14,400 บิตต่อวินาที มีฟังก์ชั่นการทำงานพิเศษมากมาย เช่น การหมุนโทรศัพท์อัตโนมัติ และการปรับจำนวนบิตที่รับส่งข้อมูลอัตโนมัติ เป็นต้น โมเด็มความเร็วปานกลางนี้ ใช้เทคนิคการผสมสัญญาณโดยเปลี่ยนแปลงมุมของช่วงคลื่น (Phase) และขนาดของสัญญาณ (Amplitude) ไปพร้อมๆ กันสามารถรับส่งข้อมูลได ้ทั้ง งแบบสองทิศทาง Full Duplex และแบบทิศทางเดียว Half Duplex
3. โมเด็มความเร็วสูง (HIGH - SPEED MODEM)
เป็นโมเด็มที่มีความเร็วในการับ ส่งข้อมูลตั้งแต่ 19,200 ถึง 28,800 บิตต่อวินาที หรือสูงกว่านั้น ใช้ฮาร์ดแวร์พิเศษ และมีการผสมสัญญาณที่ซับซ้อน และยังสามารถรับส่งในแบบสองทิศทาง Full Duplex ส่วนฟังก์ชั่นการทำงานต่างๆ ของโมเด็มความเร็วสูงมีความใกล้เคียงกับโมเด็มความเร็วปานกลาง
4. โมเด็มความเร็วสูงพิเศษ
ได้รับการออกแบบมาเมื่อประมาณ พ . ศ .2539 นี้เนื่องจากการรับส่งข้อมูลมีจำนวนมาก ต้องการใช้การดาวน์โหลดข้อมูลจำนวนมาก เช่น ข้อมูลมัลติมีเดีย ภาพ เสียง ข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต การนำโมเด็มความเร็วสูงมาใช้จะต้องมีองค์ประกอบ คือ โทรศัพท์ และระบบชุมสายโทรศัพท์ที่สามารถรับการส่งสัญญาณดิจิทัลได้ โมเด็มความเร็วสูงมีความเร็วในการรับส่งข้อมูลประมาณ 56 kbps หรือ 56,000 บิตต่อวินาที
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)