วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เครือข่ายคอมพิวเตอร์


เครือข่ายคอมพิวเตอร์

เครือข่ายคอมพิวเตอร์
การที่ระบบเครือข่ายมีบทบาทและความสำคัญเพิ่มขึ้น เพราะไมโครคอมพิวเตอร์ได้รับการใช้งานอย่างแพร่หลาย จึงเกิดความต้องการที่จะเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เหล่านั้นถึงกับเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของระบบให้สูงขึ้น เพิ่มการใช้งานด้านต่าง ๆ และลดต้นทุนระบบโดยรวมลง มีการแบ่งใช้งานอุปกรณ์และข้อมูลต่าง ๆ ตลอดจนสามารถทำงานร่วมกันได้
สิ่งสำคัญที่ทำให้ระบบข้อมูลมีขีดความสามารถเพิ่มขึ้น คือ การโอนย้ายข้อมูลระหว่างกัน และการเชื่อมต่อหรือการสื่อสาร การโอนย้ายข้อมูลหมายถึงการนำข้อมูลมาแบ่งกันใช้งาน หรือการนำข้อมูลไปใช้ประมวลผลในลักษณะแบ่งกันใช้ทรัพยากร เช่น แบ่งกันใช้ซีพียู แบ่งกันใช้ฮาร์ดดิสก์ แบ่งกันใช้โปรแกรม และแบ่งกันใช้อุปกรณ์อื่น ๆ ที่มีราคาแพงหรือไม่สามารถจัดหาให้ทุกคนได้ การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เป็นเครือข่ายจึงเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานให้กว้างขวางและมากขึ้นจากเดิม
การเชื่อมต่อในความหมายของระบบเครือข่ายท้องถิ่น ไม่ได้จำกัดอยู่ที่การเชื่อมต่อระหว่างเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ แต่ยังรวมไปถึงการเชื่อมต่ออุปกรณ์รอบข้าง เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าทำให้การทำงานเฉพาะมีขอบเขตกว้างขวางยิ่งขึ้น มีการใช้เครื่องบริการแฟ้มข้อมูลเป็นที่เก็บรวบควมแฟ้มข้อมูลต่างๆ มีการทำฐานข้อมูลกลาง มีหน่วยจัดการระบบสือสารหน่วยบริการใช้เครื่องพิมพ์ หน่วยบริการการใช้ซีดี หน่วยบริการปลายทาง และอุปกรณ์ประกอบสำหรับต่อเข้าในระบบเครือข่ายเพื่อจะทำงานเฉพาะเจาะจงอย่างใดอย่างหนึ่ง ในรูป เป็นตัวอย่างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่จัดกลุ่มเชื่อมโยงเป็นระบบ




ตัวอย่างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่จัดกลุ่มอุปกรณ์รอบข้างเชื่อมโยงเป็นระบบ


เครือข่ายคอมพิวเตอร์ก่อให้เกิดความสามารถในการปฎิบัติการร่วมกัน ซึ่งหมายถึงการให้อุปกรณ์ทุกชิ้นที่ต่ออยู่บนเครือข่ายทำงานร่วมกันได้ทั้งหมดในลักษณะที่ประสานรวมกัน โดยผู้ใช้เห็นเสมือนใช้งานในอุปกรณ์เดียวกัน จึงเป็นวิธีการในการนำเอาอุปกรณ์ต่างชนิดจำนวนมาก มารวมกันเป็นเสมือนระบบเดียวกัน ทั้ง ๆ ที่อุปกรณ์เหล่านั้นอาจจะมาจากต่างยี่ห้อ ต่างบริษัท ก็ได้


ความหมายของระบบเครือข่าย


ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network) หมายถึงการนำเครื่องคอมพิวเตอร์ มาเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน โดยอาศัยช่องทางการสื่อสารข้อมูล เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ และการใช้ทรัพยากรของระบบร่วมกัน (Shared Resource) ในเครือข่ายนั้น


รูปแสดงระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์


ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ มีองค์ประกอบที่สำคัญ เพื่อการเชื่อมต่อเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ได้แก่ คอมพิวเตอร์แม่ข่าย (File Server) ช่องทางการสื่อสาร (Communication Chanel) สถานีงาน (Workstation or Terminal) และ อุปกรณ์ในเครือข่าย (Network Operation System)




คอมพิวเตอร์แม่ข่าย
คอมพิวเตอร์แม่ข่าย หมายถึงคอมพิวเตอร์ ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ให้บริการทรัพยากร (Resources) ต่าง ๆ ซึ่งได้แก่ หน่วยประมวลผล หน่วยความจำ หน่วยความจำสำรอง ฐานข้อมูล และ โปรแกรมต่าง ๆเป็นต้น ในระบบเครือข่ายท้องถิ่น (LAN) มักเรียกว่าคอมพิวเตอร์แม่ข่าย ในระบบเครือข่ายระยะไกล ที่ใช้เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ หรือ มินิคอมพิวเตอร์เป็นศูนย์กลางของเครือข่าย เรานิยมเรียกว่า
Host Computer และเรียกเครื่องที่รอรับบริการว่าลูกข่ายหรือสถานีงาน


ช่องทางการสื่อสาร
ช่องทางการสื่อสาร หมายถึง สื่อกลางหรือเส้นทางที่ใช้เป็นทางผ่าน ในการรับส่งข้อมูล ระหว่างผู้รับ (Receiver) และผู้ส่งข้อมูล (Transmitter) ปัจจุบันมีช่องทางการสื่อสาร สำหรับการเชื่อมต่อเครือข่าย คอมพิวเตอร์มีหลายประเภทคือ สายโทรศัพท์แบบสายคู่ตีเกลียวไม่มีฉนวนหุ้ม (UTP) สายคู่ตีเกลียว แบบมีฉนวนหุ้ม (STP) สายโคแอคเชียล สายใยแก้วนำแสง คลื่นไมโครเวป และดาวเทียม เป็นต้น


รูปแสดงช่องทางการสื่อสารโดยใช้จานรับดาวเทียม


สถานีงาน
สถานีงาน (Workstation or Terminal) หมายถึง อุปกรณ์หรือเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ ที่เชื่อมต่อ กับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ทำหน้าที่เป็นสถานีปลายทางหรือสถานีงาน ที่ได้รับการบริการจากเครื่อง คอมพิวเตอร์แม่ข่าย เรียกว่าเป็นคอมพิวเตอร์ลูกข่าย (Workstation) ในระบบเครือข่ายระยะใกล้ มักมีหน่วยประมวลผล หรือซีพียูของตนเอง ในระบบที่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เมนเฟรม เป็นศูนย์กลาง เรียกสถานีปลายทางว่าเทอร์มินอล (Terminal) ประกอบด้วยจอภาพและแป้นพิมพ์เท่านั้น ไม่มีหน่วยประมวลกลางของตัวเอง ต้องใช้หน่วยประมวลผลของคอมพิวเตอร์ศูนย์กลางหรือ Host


อุปกรณ์ในเครือข่าย
การ์ดเชื่อมต่อเครือข่าย (Network Interface Card :NIC) หมายถึง แผงวงจรสำหรับ ใช้ในการเชื่อมต่อสายสัญญาณของเครือข่าย ติดตั้งไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เป็นเครื่องแม่ข่าย และเครื่องที่เป็นลูกข่าย หน้าที่ของการ์ดนี้คือแปลงสัญญาณจากคอมพิวเตอร์ส่งผ่านไปตามสายสัญญาณ ทำให้คอมพิวเตอร์ในเครือข่ายแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันได้


รูปแสดงการ์ดเชื่อมต่อเครือข่าย



องค์ประกอบของเครือข่ายคอมพิวเตอร์โมเด็ม ( Modem : Modulator Demodulator) หมายถึง อุปกรณ์สำหรับการแปลงสัญญาณดิจิตอล (Digital) จากคอมพิวเตอร์ด้านผู้ส่ง เพื่อส่งไปตามสายสัญญาณข้อมูลแบบอนาลอก(Analog) เมื่อถึงคอมพิวเตอร์ด้านผู้รับ โมเด็มก็จะทำหน้าที่แปลงสัญญาณอนาลอก ให้เป็นดิจิตอลนำเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อทำการประมวลผล โดยปกติจะใช้โมเด็มกับระบบเครือข่ายระยะไกล โดยการใชสายโทรศัพท์เป็นสื่อกลาง เช่น เครือข่ายอินเทอร์เน็ต เป็นต้น

รูปแสดงการใช้โมเด็มในการติดต่อเครือข่ายระยะไกล


ฮับ ( Hub) คือ อุปกรณ์เชื่อมต่อที่ใช้เป็นจุดรวม และ แยกสายสัญญาณ เพื่อให้เกิดความสะดวก ในการเชื่อมต่อของเครือข่ายแบบดาว (Star) โดยปกติใช้เป็นจุดรวมการเชื่อมต่อสายสัญญาณระหว่าง File Server กับ Workstation ต่าง ๆ


แสดงฮับที่ใช้เป็นจุดเชื่อมต่อและจุดแยกของสาย



ซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการเครือข่าย
ซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการเครือข่าย หมายถึง ซอฟต์แวร์ที่ทำหน้าที่ จัดการระบบเครือข่ายของคอมพิวเตอร์ เพื่อให้คอมพิวเตอร์ ที่เชื่อมต่ออยู่กับเครือข่าย สามารถติดต่อสื่อสาร แลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้อย่างถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ ทำหน้าที่จัดการด้านการรักษาความปลอดภัย ของระบบเครือข่าย และยังมีหน้าที่ควบคุม การนำโปรแกรมประยุกต์ ด้านการติดต่อสื่อสาร มาทำงานในระบบเครือข่ายอีกด้วย นับว่าซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการเครือข่าย มีความสำคัญต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์อย่างยิ่ง ตัวอย่าง ซอฟต์แวร์ประเภทนี้ได้แก่ ระบบปฏิบัติการ Windows NT , Linux , Novell Netware , Windows XP ,Windows 2000 , Solaris , Unix เป็นต้น


แสดงซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการเครือข่าย


โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (TOPOLOGY)
การนำเครื่องคอมพิวเตอร์มาเชื่อมต่อกันเพื่อประโยชน์ของการสื่อสารนั้น สามารถกระทำได้หลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป โดยทึ่วไปแล้วโครงสร้างของเครือข่ายคอมพิวเตอร์สามารถจำแนกตามลักษณะของการเชื่อมต่อดังต่อไปนี้


1. โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบบัส (bus topology)

โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบบัส จะประกอบด้วย สายส่งข้อมูลหลัก ที่ใช้ส่งข้อมูลภายในเครือข่าย เครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง จะเชื่อมต่อเข้ากับสายข้อมูลผ่านจุดเชื่อมต่อ เมื่อมีการส่งข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์หลายเครื่องพร้อมกัน จะมีสัญญาณข้อมูลส่งไปบนสายเคเบิ้ล และมีการแบ่งเวลาการใช้สายเคเบิ้ลแต่ละเครื่อง ข้อดีของการเชื่อมต่อแบบบัส คือ ใช้สื่อนำข้อมูลน้อย ช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่าย และถ้าเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่งเสียก็จะไม่ส่งผลต่อการทำงานของระบบโดยรวม แต่มีข้อเสียคือ การตรวจจุดที่มีปัญหา กระทำได้ค่อนข้างยาก และถ้ามีจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายมากเกินไป จะมีการส่งข้อมูลชนกันมากจนเป็นปัญหา


2. โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบวงแหวน (ring topology)

โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบวงแหวน มีการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์โดยที่แต่ละการเชื่อมต่อจะมีลักษณะเป็นวงกลม การส่งข้อมูลภายในเครือข่ายนี้ก็จะเป็นวงกลมด้วยเช่นกัน ทิศทางการส่งข้อมูลจะเป็นทิศทางเดียวกันเสมอ จากเครื่องหนึ่งจนถึงปลายทาง ในกรณีที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่งขัดข้อง การส่งข้อมูลภายในเครือข่ายชนิดนี้จะไม่สามารถทำงานต่อไปได้ ข้อดีของโครงสร้าง เครือข่ายแบบวงแหวนคือ ใช้สายเคเบิ้ลน้อย และถ้าตัดเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เสียออกจากระบบ ก็จะไม่ส่งผลต่อการทำงานของระบบเครือข่ายนี้ และจะไม่มีการชนกันของข้อมูลที่แต่ละเครื่องส่ง




3. โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบดาว (star topology)

โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบดาว ภายในเครือข่ายคอมพิวเตอร์จะต้องมีจุกศูนย์กลางในการควบคุมการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ หรือ ฮับ (hub) การสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างๆ จะสื่อสารผ่านฮับก่อนที่จะส่งข้อมูลไปสู่เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ แบบดาวมีข้อดี คือ ถ้าต้องการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ก็สามารถทำได้ง่ายและไม่กระทบต่อเครื่องคอมพิวเตอร์อื่นๆ ในระบบ ส่วนข้อเสีย คือ ค่าใช้จ่ายในการใช้สายเคเบิ้ลจะค่อนข้างสูง และเมื่อฮับไม่ทำงาน การสื่อสารของคอมพิวเตอร์ทั้งระบบก็จะหยุดตามไปด้วย



Save (การบันทึก)


Save (การบันทึก)


การบันทึกรูปภาพจากเว็บเพจ

ข้อมูลนี้ใช้ได้กับ Windows Internet Explorer 7 และ Windows Internet Explorer 8

เปิด Internet Explorer โดยการคลิกปุ่ม เริ่มแล้วคลิก Internet Explorer
เรียกดูเว็บเพจที่มีรูปภาพที่คุณต้องการบันทึก
คลิกขวาที่รูปภาพ
คลิก บันทึกรูปภาพเป็น
ในกล่องโต้ตอบ บันทึกรูปภาพ ให้เรียกดูโฟลเดอร์ที่คุณต้องการบันทึกแฟ้ม แล้วคลิก บันทึก

สิ่งต่างๆ ที่คุณสามารถดำเนินการกับเนื้อหาเว็บเพจ
ตารางต่อไปนี้จะอธิบายสิ่งต่างๆ ที่คุณสามารถดำเนินการกับเนื้อหาเว็บเพจได้

เมื่อต้องการให้ลองทำเช่นนี้

บันทึกเพจหรือรูปภาพโดยไม่ต้องเปิด
คลิกขวาที่การเชื่อมโยงสำหรับรายการที่คุณต้อง
การบันทึก แล้วคลิกบันทึกเป้าหมายเป็น

คัดลอกข้อมูลจากเว็บเพจลงในเอกสาร
เลือกข้อมูลที่คุณต้องการคัดลอก คลิกปุ่ม เพจ
แล้วคลิกคัดลอกวางข้อมูลลงในเอกสารที่
คุณกำลังทำงานอยู่

สร้างทางลัดบนเดสก์ท็อปไปยังเพจปัจจุบัน
คลิกขวาที่เพจนั้น แล้วคลิก สร้างทางลัด

การใช้รูปภาพเว็บเพจเป็นพื้นหลังของเดสก์ท็อป
คลิกขวาที่รูปภาพบนเว็บเพจ แล้วคลิก
ใช้เป็นภาพพื้นหลัง

การส่งเว็บเพจในอีเมล
คลิกปุ่ม เพจ แล้วคลิก ส่งเพจนี้ ใส่ลงในเขต
ข้อมูลอีเมล แล้วจึงส่งข้อความ โปรดสังเกตว่า
คุณต้องมีบัญชีอีเมลและโปรแกรมอีเมลติดตั้ง
บนเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณเพื่อให้สามารถ
ส่งเว็บเพจในอีเมลได้
ที่มา : http://windows.microsoft.com/th-th/windows-vista/save-a-picture-from-a-webpage

การบันทึกข้อความ

Microsoft Office Outlook 2007 มีทางเลือกให้คุณมากมายในการบันทึกข้อความอีเมล
ตัวอย่างเช่น คุณสามารถบันทึกข้อความที่ได้รับเป็นแฟ้มบนฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ หรือบันทึก
ข้อความที่คุณเรียบเรียงเป็นแบบร่างและเขียนให้เสร็จสิ้นในภายหลัง สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับ
การย้ายข้อความไปยังโฟลเดอร์อื่น การเก็บถาวรรายการ Outlook หรือการสำรองข้อมูล Outlook
ทั้งหมดของคุณ โปรดดูที่ส่วน ดูเพิ่มเติม ที่อยู่ติดกับบทความนี้
คุณต้องการทำสิ่งใด
บันทึกข้อความที่ได้รับเป็นแฟ้ม
เปลี่ยนรูปแบบแฟ้มเริ่มต้นสำหรับการบันทึกข้อความ
บันทึกข้อความที่ได้รับเป็นเอกสาร Microsoft Office Word
บันทึกข้อความที่ได้รับเป็นแฟ้ม PDF หรือ XPS
บันทึกข้อความเป็นแม่แบบ
บันทึกแบบร่างของข้อความที่คุณต้องการเขียนให้เสร็จในภายหลัง
เปลี่ยนช่วงเวลาหรือตำแหน่งสำหรับการบันทึกรายการที่ยังไม่เสร็จ

ที่มา : http://office.microsoft.com/th-th/outlook-help/HP001231789.aspx

การบันทึกเว็บเพจ
การบันทึกรูปภาพจากเว็บเพจ
1. เข้าไปยังหน้าเว็บเพจที่มีรูปภาพที่ต้องการจัดเก็บ เช่น http://www.tourthai.com
2. เมื่อเจอรูปภาพที่ต้องการจัดเก็บแล้ว ให้คลิก (Click) ขวาเรียกเมนูคำสั่งขึ้นมา
แล้วเลือกคำสั่ง Save Picture as




3. เลือกไดร์ที่ต้องการบันทึก คลิกตกลง
ที่มา : http://www.nr.ac.th/learning/internetforweb/Learning17.html
การกำหนด Wallpaper
ลงชื่อเข้าใช้อุปกรณ์ Chrome หากคุณยังไม่ได้ดำเนินการ
คลิกพื้นที่แสดงสถานะที่มุมล่างขวาที่รูปสำหรับบัญชีของคุณปรากฏ
เลือก การตั้งค่า และหาส่วน "ลักษณะที่ปรากฏ"
ในการเปลี่ยนภาพพื้นหลัง ให้คลิก ตั้งวอลเปเปอร์ แสดงหนึ่งในภาพพื้นหลังของเราโดยการเลือกหมวดหมู่และเลือกภาพ หากคุณต้องการแสดงภาพที่กำหนดเองแทน ให้เลือกหมวดหมู่ที่กำหนดเองและคลิก เลือกไฟล์ เลือกภาพและคลิก เปิด เลือกไว้ที่กึ่งกลาง ครอบตัดตรงกึ่งกลาง หรือขยายภาพ คุณยังสามารถเลือกช่อง ทำให้ฉันแปลกใจ เพื่อรับภาพวอลเปเปอร์แบบสุ่ม (ยกเลิกการเลือกช่องเพื่อเลือกภาพของคุณเอง)
ที่มา : https://support.google.com/chromeos/answer/1251809?hl=th
การบันทึกพื้นหลัง (Background)

การบันทึกพื้นหลังอันใหม่

เปิด หน้าต่างการตั้งค่าไดรเวอร์เครื่องพิมพ์
คลิก ตราประทับ/พื้นหลัง...(Stamp/Background...) บนแท็บ ตั้งค่าหน้ากระดาษ(Page Setup)





หมายเหตุ

ด้วยไดรเวอร์เครื่องพิมพ์ XPS ปุ่ม ตราประทับ/พื้นหลัง...(Stamp/Background...) จะกลายเป็น ตราประทับ...(Stamp...) และ พื้นหลัง(Background) จะไม่สามารถใช้งานได้
คลิก เลือกพื้นหลัง...(Select Background...)
ไดอะล็อกบ็อกซ์ การตั้งค่าพื้นหลัง(Background Settings) จะเปิดขึ้น



เลือกข้อมูลภาพที่บันทึกเป็นพื้นหลัง
คลิก เลือกไฟล์...(Select File...) เลือกไฟล์บิทแม็พจุดหมาย (.bmp) แล้วคลิก เปิด(Open)
กำหนดการตั้งค่าต่อไปนี้ในขณะที่การมองหน้าต่างดูภาพตัวอย่าง
วิธีวางเค้าโครง(Layout Method)
เลือกวิธีของการวางแนวข้อมูลภาพเพื่อใช้เป็นพื้นหลัง
เมื่อ กำหนดเอง(Custom) ถูกเลือกอยู่ คุณสามารถตั้งค่าพิกัดสำหรับ ตำแหน่ง X(X-Position) และ ตำแหน่ง Y(Y-Position)
คุณยังสามารถทำการเปลี่ยนตำแหน่งพื้นหลัง โดยลากภาพเข้าไปในหน้าต่างดูภาพตัวอย่างโดยตรงความเข้ม(Intensity)
ตั้งค่าความเข้มสำหรับข้อมูลภาพที่เป็นพื้นหลังด้วยตัวเลื่อน ความเข้ม(Intensity) การลากตัวเลื่อนไปทางขวาจะทำให้พื้นหลังเข้มขึ้น และการลากตัวเลื่อนไปทางซ้ายจะทำให้พื้นหลังจางลง หากต้องการพิมพ์พื้นหลังด้วยความเข้มของภาพต้นฉบับ ให้เลื่อนตัวเลื่อนไปทางตำแหน่งขวาสุด
บันทึกพื้นหลัง
คลิกแท็บ บันทึกการตั้งค่า(Save settings) แล้วป้อนชื่อในกรอบ ชื่อ(Title) แล้วคลิก บันทึก(Save)
คลิก ตกลง(OK) เมื่อข้อความยืนยันปรากฏขึ้น
หมายเหตุ
ช่องว่าง แท็บ และไม่สามารถกลับไปป้อนเข้าสู่จุดเริ่มต้นหรือจุดสุดท้ายของชื่อ
ให้ทำการตั้งค่าเสร็จสิ้น
คลิก ตกลง(OK) แล้วไดอะล็อกบ็อกซ์ ตราประทับ/พื้นหลัง(Stamp/Background) จะเปิดขึ้น
ขื่อที่ถูกจัดเก็บจะปรากฏในลิสต์ พื้นหลัง(Background)

ที่มา : http://ugp01.c-ij.com/ij/webmanual/PrinterDriver/W/MX390%20series/1.0/TH/PPG/Dg-c_back_save.html

การเปิดไฟล์รูปภาพในโปรแกรม Microsoft Word
1.เข้าโปรแกรม Microsoft Word
2.คลิกเมนู Insert
3.คลิก Picture
4.คลิก From File
5.เลือกส่วนที่เก็บไว้ (look in)
6.คลิกชื่อไฟล์รูฟภาพที่ต้องการ
7.คลิก Open

ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต INET IDC


ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต INET IDC











IDC ศูนย์ข้อมูลไอทีครบวงจร ปลอดภัยมั่นใจอันดับหนึ่งของประเทศ พร้อมให้บริการแล้ว 4 ศูนย์ ด้วยความร่วมมือจากผู้นำไอทีระดับประเทศ จากการสื่อสารแห่งประเทศไทย(CAT) และบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) รองรับความต้องการของธุรกิจยุคใหม่ด้วยเทคโนโลยีที่มีมาตรฐานสากล และความปลอดภัยเหนือระดับที่สมบูรณ์แบบที่สุดให้พื้นที่บริการกว่า 2,000 ตรม. รองรับ Co-location Server การเชื่อมโยงระบบเครือข่ายของ 4 ศูนย์ ทำให้เกิดการ Back up ซึ่งกันและกันด้วยระบบเครือข่ายที่เข้มแข็ง พร้อมเชื่อมต่อ MetroLAN อาคารพาณิชย์ 89 ตึกทั่วกรุงเทพฯ (ขยายรายละเอียดการเชื่อมต่อด้วยภาพ) เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าสู่เครือข่าย ด้วยอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ทำให้ธุรกิจบนเครือข่าย INET-IDC ดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด


INET Data Center


ศูนย์ข้อมูลไอทีมาตราฐานสากล ความปลอดภัยเหนือระดับ


INET-IDC ศูนย์ข้อมูลไอทีครบวงจร ปลอดภัยมั่นใจอันดับหนึ่งของประเทศ พร้อมให้บริการแล้ว 4 ศูนย์ ด้วยความร่วมมือจากผู้นำไอทีระดับประเทศ จากการสื่อสารแห่งประเทศไทย(CAT) และบริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) รองรับความต้องการของธุรกิจยุคใหม่ด้วยเทคโนโลยีที่มีมาตรฐานสากล และความปลอดภัยเหนือระดับที่สมบูรณ์แบบที่สุด ให้พื้นที่บริการกว่า 2,000 ตรม. รองรับ Co-location Server การเชื่อมโยงระบบเครือข่ายของ 4 ศูนย์ ทำให้เกิดการ Back up ซึ่งกันและกันด้วยระบบเครือข่ายที่เข้มแข็ง พร้อมเชื่อมต่อ MetroLAN อาคารพาณิชย์ 83 ตึกทั่วกรุงเทพ (ขยายรายละเอียดการเชื่อมต่อด้วยภาพ) เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าสู่เครือข่ายด้วยอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ทำให้ธุรกิจบนเครือข่าย INET-IDC ดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด


INET Data Center พร้อมตอบรับทุกความต้องการแบบครบวงจรด้วย 4 ศูนย์หลัก






NET Data Center อาคารไทยซัมมิททาวเวอร์ ถ.เพชรบุรีตัดใหม่
ศูนย์ข้อมูลไอที ที่ตอบรับความต้องการของธุรกิจยุคใหม่ และมีความยืดหยุ่นสูง ด้วยเทคโนโลยีที่เหนือชั้น พร้อมพื้นที่บริการกว่า 700 ตร.ม. รองรับเซิร์ฟเวอร์ได้กว่า 5,000 ตัว ตั้งอยู่ใจกลางย่านธุรกิจและศูนย์กลางการเชื่อมโยงระบบคมนาคมครบครัน ทั้งรถยนต์ รถไฟฟ้า รถไฟฟ้าใต้ดิน แอร์พอร์ตลิงค์ และ การคมนาคมทางน้ำ
INET Data Center อาคารบางกอกไทยทาวเวอร์
ศูนย์ข้อมูลไอที Virtual Data Center แห่งใหม่ล่าสุด ด้วยการบริหารจัดการที่รองรับและออกแบบด้วย Concept : Clean, Green, Innovation Saving, และ Security ตามมาตรฐานสากลได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด พร้อมด้วยเครือข่ายเสถียรภาพสูงในรูปแบบ Full Redundancy รองรับทุกสถานการณ์จากเหตุภัยพิบัติที่ไม่คาดคิด ตั้งอยู่ ซอยรางน้ำ แขวงถนนพญาไท ซึ่งอยู่ใจกลางเมือง ใกล้ย่านธุรกิจ แหล่งช้อปปิ้ง เดินทางได้สะดวกรวดเร็ว ด้วย BTS)
INET Data Center อาคารศูนย์โทรคมนาคมนนทบุรี CAT จ.นนทบุรี
ในฐานะที่เป็นผู้นำด้านศูนย์บริการอินเทอร์เน็ต (Internet Gateway) ของประเทศที่มีความพร้อม และเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของไอเน็ต ดังนั้น CAT จึงถือเป็นศูนย์ที่ INET-IDC ได้รับในระดับ Premium ที่สุด พร้อมให้บริการแบบครบวงจร ด้วยระบบรักษาความปลอดภัยด้าน Network ที่มีเสถียรภาพ เชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
INET Data Center อาคาร TOT
ศูนย์ข้อมูลไอที ที่มีความพร้อมก้าวสู่ Virtual Data Center ครอบคลุมทั้งการให้บริการพื้นที่สำหรับวางระบบคอมพิวเตอร์ การให้บริการพร้อมเครื่องคอมพิวเตอร์ การให้บริการ Storage และการให้บริการ Cloud พร้อมด้วยมาตรฐานของตึกที่ออกแบบมาเพื่อเป็น Data Center โดยเฉพาะ เพื่อให้มีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น ตั้งอยู่ติดกับศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ




รูปแบบการให้บริการ IDC 4 ศูนย์

รายละเอียด
TST
BTT
CAT
TOT

Full Rack
1/2Rack
1/4Rack
Full Rack
(High Density)
Full Rack
½ Rack
Full Rack
Full Rack

Stand 1st Level Engineer
24x7

OnSite Visit
24 ชม. ไม่จำกัด จำนวนครั้ง

Restart Server
ไม่จำกัด
Yes

Traffic Monitoring
Yes

SMS Alert
Yes

Customer Service Report

Traffic Utization (MRTG)
รายเดือน
Extra Charge

Incident Report
รายเดือน
Extra Charge

Onsite Visit
รายเดือน

Audit Rack
ราย 3 เดือน

Infrared Scan
ราย 3 เดือน

INET Data Center เหมาะสำหรับองค์กร
ตอบรับความต้องการของกลุ่มสถาบันการเงิน หลักทรัพย์ ประกันภัย รวมทั้งองค์กรชั้นนำองค์กรภาครัฐ และองค์กรเอกชนข้ามชาติ ที่การดำเนินธุรกิจแบบหยุดไม่ได้ แม้เพียงเสี้ยววินาที
• ต้องการจัดเก็บ และบริหารจัดการฐานข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยสูงสุด
• ต้องการศูนย์รับรองจากเหตุการณ์ภัยพิบัติที่ไม่คาดคิดที่ดีที่สุด
มั่นใจด้วยบริการคุณภาพระดับมาตรฐาน ISO 27001 :2005
• ระบบ Network Infrastructure
ระบบเครือข่ายที่มีเสถียรภาพสูงในรูปแบบ Full Redundancy เพื่อป้องกันความเสี่ยง มีการออกระบบที่สามารถช่วยแบ่งเบาภาระการทำงานให้ซึ่งกันและกัน หากอุปกรณ์ตัวใดตัวหนึ่งเสีย หรือหยุดการทำงาน ระบบก็ยังสามารถใช้งานต่อไปได้
• ระบบอำนวยความสะดวก (Facility)
ศูนย์บริการข้อมูลถึง 4 แห่ง ระบบเครื่องปรับอากาศสำรอง (Redundancy Air Condition) เครื่องสำรองไฟ (UPS) และผลิตกระแสไฟฟ้า (Generator Set) ห้องควบคุมอุณหภูมิ ระบบตรวจจับความชื้น และระบบป้องกันอัคคีภัยที่ได้มาตราฐานสากล พร้อมทำงานตลอด 24 ชม
• ระบบความปลอดภัย (Security)
ด้าน Network Security มีความปลอดภัยสูงด้วย ระบบป้องกันเครือข่าย (Firewall) ทั้ง Hardware Software และ Policy Security รวมถึงความปลอดภัยของศูนย์ข้อมูลไอทีที่มีการรักษาความปลอดภัยการเข้า-ออก ด้วยรหัสส่วนบุคคลและเครื่องแสกนลายนิ้วมือ หรือบัตรเพื่อความปลอดภัยมากถึง 2 เท่า บริหารจัดการระบบเข้า-ออกประตูทุกจุดผ่านระบบ Access Control พร้อมกล้องวงจรปิด ทั่วทุกจุด
• ให้บริการแบบ One-stop Service
บริการครบวงจร เพื่อตอบสนองทุกความต้องการในที่เดียว เช่น Trade Hub, Payment Gateway, Internet Access, SSL และ Add-on Services อีกมากมาย
รูปแบบการให้บริการ INET Data Center
INET Security Center ศูนย์รักษาความปลอดภัยข้อมูล ที่พร้อมบริหารจัดการข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ (Log File) เพื่อตอบรับพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ที่ครอบคลุมทุกความต้องการและงบประมาณขององค์กรทุกระดับ
Disaster Recovery Center ศูนย์สำรองข้อมูล เพื่อการบริหารจัดการฐานข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยในทุกสถานการณ์ฉุกเฉิน
Dedicated Server บริการรับฝากเซิร์ฟเวอร์ใน Shared Rack เหมาะกับองค์กรที่ต้องการประหยัดการลงทุนเบื้องต้น พร้อมแผนเช่าซื้อเซิร์ฟเวอร์ที่หลากหลายให้คุณเลือก
Co-location บริการรับฝากเซิร์ฟเวอร์ใน Shared Rack เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการความเป็นส่วนตัว สามารถนำเครื่องที่มีข้อมูลอยู่แล้วมาฝากให้พื้นทีที่จัดไว้
Business Continuity Planning บริการศูนย์สำรองพื้นที่กรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน ด้วยพื้นที่การทำงานสำรอง พร้อมอินเทอร์เน็ต และอุปกรณ์อำนวยความสะดวก เพื่อการขับเคลื่อนธุรกิจของคุณขณะเกิดเหตุฉุกเฉิน

ที่มา : http://www.inet.co.th/

ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต ISP

-Csloxinfo www.csloxinfo.com บริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟ จำกัด (มหาชน) เลขที่ 90 อาคารไซเบอร์เวิร์ลด ทาวเวอร์ เอ ชั้น 17-20 ถนนรัชดาภิเษก แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร10310
-INET www.inet.co.th บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) 1768 อาคาร ไทยซัมมิททาวเวอร์ ชั้น 10-12 และชั้น IT ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร10310
-ISSP www.issp.co.th บริษัท อินเตอร์เนต โซลูชั่น แอนด์ เซอร์วิส โพรวายเดอร์ จำกัด 252/85-86อาคารสำนักงานเมืองไทยภัทร 2 ชั้นบีบี ยูนิตเอ ถนนรัชดาภิเษก เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร10310
-3BB Broadband www.3bb.co.th บริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) 200 หมู่ 4 อาคารจัสมินอินเตอร์เนชั่นแนลทาวเวอร์ ถนนแจ้งวัฒนะ ตำบลปากเกร็ด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี 11120
-TOT www.tot.co.th บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) 89/2 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้องเขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร 10210

Search (การค้นหา)


Search (การค้นหา)

Search (การค้นหา)


Search Engine คือ เครื่องมือการค้นหาข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต ที่ทุกคนสามารถเข้าไปค้นหาข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตก็ได้โดยกรอกข้อมูลที่ต้องการค้นหา หรือ Keyword (คีย์เวิร์ด) เข้าไปที่ช่อง Search Box แล้วกด Enter แค่นี้ข้อมูลที่เราค้นหาก็จะถูกแสดงออกมาอย่างมากมายก่ายกอง เพื่อให้เราเลือกข้อมูลตรงกับความต้องการที่สุดเอามาใช้งาน โดยลักษณะการแสดงผลของ Search Engine นั้นจะทำการแสดงผลแบบ เรียงอันดับ Search Results ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเรา

ตัวอย่าง Search Engine ที่มีชื่อเสียงทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ เช่น sanook.com, siamguru.com, google.com, yahoo.com, msn.com, altavista.com, search.com เป็นต้น





ตัวอย่าง Web Search Engine
1. http://www.google.co.th/
2. http://www.youtube.com/
3. http://dict.longdo.com


หลักการค้นหาข้อมูลของ Search Engine สำหรับหลักในการค้นหาข้อมูลของ Search Engine แต่ละตัวจะมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับว่าทางศูนย์บริการต้องการจะเก็บข้อมูลแบบไหน แต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีกลไกใน การค้นหาที่ใกล้เคียงกัน หากจะแตกต่างก็คงจะเป็นเรื่องประสิทธิภาพเสียมากกว่า ว่าจะมีข้อมูล เก็บรวบรวมไว้อยู่ในฐานข้อมูลมากน้อยขนาดไหน และพอจะนำเอาออกมาบริการให้กับผู้ใช้ ได้ตรงตามความต้องการหรือเปล่า ซึ่งลักษณะของปัจจัยที่ใช้ค้นหาโดยหลักๆจะมีดังนี้
1. การค้นหาจากชื่อของตำแหน่ง URL ใน เว็บไซต์ต่างๆ





2. การค้นหาจากคำที่มีอยู่ใน Title (ส่วนที่ Browser ใช้แสดงชื่อของเว็บเพจอยู่ทางด้านซ้ายบน
ของหน้าต่างที่แสดง)
3. การค้นหาจากคำสำคัญหรือคำสั่ง keyword (อยู่ใน tag คำสั่งใน html ที่มีชื่อว่า meta)
4. การค้นหาจากส่วนที่ใช้อธิบายหรือบอกลักษณะ site
5. ค้นหาคำในหน้าเว็บเพจด้วย Browser ซึ่งการค้นหาคำในหน้าเว็บเพจนั้นจะใช้สำหรับกรณีที่คุณเข้าไปค้นหาข้อมูลที่เว็บเพจใด เว็บเพจหนึ่ง แล้วภายในมีข้อความปรากฏอยู่เต็มไปหมด จะนั่งไล่ดูทีละบรรทัดคงไม่สะดวก ในลักษณะนี้เราใช้ browser ช่วยค้นหาให้ ขั้นแรกให้คุณนำ mouse ไป click ที่ menu Edit แล้วเลือกบรรทัดคำสั่ง Find in Page หรือกดปุ่ม Ctrl + F ที่ keyboard ก็ได้ จากนั้นใส่คำที่ต้องการค้นหาลงไปแล้วก็กดปุ่ม Find Next โปรแกรมก็จะวิ่งหาคำดังกล่าว หากพบมันก็จะกระโดดไปแสดงคำนั้นๆ ซึ่งคุณสามารถกดปุ่ม Find Next เพื่อค้นหาต่อได้ อีกจนกว่าคุณจะพบข้อมูลที่ต้องการ


Search Engine แต่ละตัวมีข้อดีในการสืบค้นและวิธีการในการสืบค้นที่แตกต่างกัน ตลอดจนมีการจัดทำส่วนพิเศษต่างๆ ในการสืบค้นเพื่อช่วยผู้ใช้ และเพื่อให้ผู้ใช้สามารถสืบค้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ใช้ควรมีความรู้เกี่ยวกับการค้นหา ดังนี้ คือ
1.วิธีการใช้ Search Engine แต่ละเว็บไซต์
Search Engine แต่ละตัวจะมีส่วนช่วยในการอธิบายวิธีใช้ในส่วนที่เรียกว่า Help หรือ
About เช่น Yahoo มีวิธีกำหนดคำค้นเพื่อให้ได้ผลค้นที่เฉพาะเจาะจงหรือตรงต่อความต้องการ โดย
1.1 ใช้เครื่องหมายดอกจันทร์ (*) เพื่อค้นหาคำที่มีการสกดคล้ายกัน เช่น smok*
หมายความว่า ให้ค้นหาคำทั้งหมดที่ขึ้นด้วย 5 ตัวอักษรแรก เช่น smoke smoker เป็นต้น
1.2 ใช้เครื่องหมาย + สำหรับกำหนดให้แสดงผลการค้นเฉพาะเว็บไซต์ ที่ปรากฏ
คำทั้งสองคำ เช่น Secondary + education
1.3 ใช้เครื่องหมาย “ ” สำหรับการค้นหาคำที่เป็นวลี เช่น “great barrier reaf”
ฯลฯ
2.การใช้ตรรกบูลีน (Boolean Logic)
เพื่อให้สามารถกำหนดการค้นหาที่แคบเข้ามา โดยใช้คำ AND OR NOT เข้าช่วยในการ
กำหนดคำค้น เพื่อให้สามารถค้นหาได้อย่างเฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น
2.1 การใช้ AND
การกำหนดใช้ AND จะใช้เมื่อต้องการกำหนดให้ค้นรายการที่ปรากฏคำที่มีความเกี่ยว
ข้องกัน ในรายการเดียวกัน เช่น water and soil
การกำหนดแบบนี้หมายความว่า
1. ผลการค้นต้องการ คือ เฉพาะรายการที่มีคำว่า water และ soil เท่านั้น
2. หากรายการใดที่มีแต่คำว่า water หรือ soil ไม่ต้องการ
2.2 การใช้คำว่า OR
การใช้ OR เป็นการขยายคำค้น โดยกำหนดคำหลายที่เห็นว่ามีความหามายคล้ายกัน
หรือสามารถสะกดได้หลายแบบ
2.3 การใช้ NOT
การใช้ NOT จะใช้ในเมื่อต้องการจำกัดการค้นเข้ามา คือไม่ต้องการรายการที่มีเนื้อหา
ส่วนที่ไม่ต้องการปรากฏอยู่ โดยกำหนดให้ตัดคำที่ไม่ต้องการออกเช่น water not soil
การกำหนดคำแบบนี้ หมายถึง
1. ให้ค้นหารายการที่มีคำว่า water แต่หากรายการใดมีคำว่า soil อยู่ด้วย ไม่ต้องการ
2. ผลสืบค้นที่ได้ทุกรายการที่มีคำว่า water และหากมีคำว่าSoil ให้คัดออกทุกรายการ


เว็บไซต์ที่ให้บริการ Search Engine

Search Engine เป็นเครื่องมือหรือโปรแกรมในการค้นหาเว็บต่างๆ โดยมีการเก็บ รายชื่อเว็บไซต์และข้อมูลที่เกี่ยวข้องต่างๆ ของเว็บไซต์และนำมาจัดเก็บไว้ใน server เพื่อให้สามารถค้นหาและแสดงผลได้สะดวก และรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ บาง search engine อาจไม่ได้มีการเก็บข้อมูลในserver ของตัวเอง แต่อาจอาศัยข้อมูลจากเจ้าของ server นั้นๆ
เครื่องมือหรือโปรแกรมสำหรับการสืบค้น (Search Engine) มีอยู่มากมายและมีให้บริการอยู่ตามเว็บไซต์ต่างๆ ที่ใช้บริการการสืบค้นข้อมูลโดยเฉพาะ การเลือกใช้นั้นขึ้นกับประเภทของข้อมูล สารสนเทศที่ต้องการสืบค้น Search Engine ต่างๆ จะให้ข้อมูลที่มีความลึกในแง่มุมหรือศาสตร์ต่างๆ
ไม่ เท่ากัน ตัวอย่าง Search Engine ที่นิยมใช้มีทั้งเว็บไซต์ที่เป็นของต่างประเทศ และของไทยเอง
ตัวอย่าง เว็บไซต์ของไทยและต่างประเทศ ได้แก่




website ภาษาไทย
website ภาษาอังกฤษ
http://www.thaifind.com/ http://www.ixquick.com/
http://www.thaiseek.com/ http://www.yahoo.com%20/
http://www.thaiall.com/ http://www.lycos.com/
http://www.thainame.net/main.html http://www.netfind2.aol.com/
http://www.sanook.com/ http://www.excite.com/
http://www.google.com/ http://www.altavista.com/
http://www.aromdee.com/ http://www.freestation.com/






เว็บไซต์ Search Engine ยอดนิยม
ปัจจุบันมีเว็บไซต์ที่เป็นเครื่องมือช่วยค้นเกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นในลักษณะนามานุกรม และแบบดรรชนี ซึ่งแต่ละเว็บไซต์ก็มีข้อดีแตกต่างกันไป ในที่นี้ขอยกตัวอย่างเว็บไซต์ระดับแนวหน้าของไทยและต่างประเทศ Yahoo http://www.yahoo.com Yahoo (อ่านว่า ยา-ฮู) เป็น Search Engine ที่เก่าแก่และเรียกว่ามีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดตัวหนึ่งในอาณาจักรอินเทอร์เน็ต จุดเด่นหลักของเว็บไซต์นี้คงมาจากความสามารถในการค้นหาข้อมูลที่ทำได้อย่างรวดเร็ว จุดหนึ่งที่ทำให้ Yahoo โดดเด่นเป็นพิเศษก็คือการแบ่งเว็บไซต์ที่เก็บในฐานข้อมูลออกเป็นหมวดหมู่และยังมีการโยงใยระหว่างกลุ่มย่อยแต่ละกลุ่มเข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ





Alta Vista
http://www.altavista.com
Alta Vista เป็น Search Engine ที่มีคุณสมบัติการค้นหาด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบและตรงกับความต้องการของผู้ใช้อย่างมาก สามารถสั่งให้ค้นหาแบบคำสำคัญหรือคีย์เวิร์ดได้อย่างชัดเจน อีกทั้งในการใช้ตรรกบูลีน (OR, AND, NOT) จะดีมาก





Go
http://www. go.com
เป็น Search Engine ที่มีฐานข้อมูลขนาดใหญ่และยังรวมถึงฐานข้อมูลของรายชื่ออีเมล์และนิวส์กรุ๊ปได้ เป็น Search Engine ที่เป็นแบบ นามานุกรมที่มีความเร็วในการค้นหา อีกทั้งหน้าตาเว็บยังสวยงาม และมีลูกเล่นด้วย





Shareware
http://www.shareware.com
เป็น Search Engine เฉพาะด้านซึ่งจะเก็บรวบรวมรายชื่อโปรแกรมทั้งฟรีแวร์ (Freeware) (โปรแกรมแจกฟรี) แชร์แวร์ (Shareware)(โปรแกรมใช่ก่อน ถูกใจจ่ายเงินทีหลัง) และโปรแกรมอัพเกรดต่าง ๆ มาทำเป็นฐานข้อมูลไว้ ดังนั้นถ้าคุณต้องการหาโปรแกรมแชร์แวร์มาใช้สามารถใช้เว็บไซต์นี้ค้นหาตำแหน่งได้อย่างดีเยี่ยม





Siamguru
http://www.siamguru.com
Basic Search คือ เครื่องมือในการค้นหาเว็บไซต์ ทำหน้าที่ในการให้บริการข้อมูลโดยเน้นเรื่องความสามารถในการค้นหาข้อมูลภาษาไทยบนอินเทอร์เน็ต มีความสามารถเทียบเท่า search engineชื่อดังจากต่างประเทศ





Sanook
http://www.sanook.com
เป็นเว็บไซต์ชื่อดังของไทยที่เป็นแหล่งค้นหาข้อมูลของไทยที่มีข้อมูลให้ค้นหามากมายทั้งของไทยและทั่วโลกซึ่งมีทั้งแบบนามานุกรม และคำค้น ซึ่งจะบอกที่อยู่ของเว็บไซต์และมีคำอธิบายเว็บที่หาอย่างเข้าใจง่าย และยังสามารถส่งเว็บไซต์นี้ให้เพื่อนๆ ทางอีเมล์ด้วย





Google
www.google.com
Google เป็นเว็บไซต์ฐานข้อมูลที่ใหญ่มากแห่งหนึ่งของโลก ในอดีตเป็นบริษัทที่ดำเนินการด้านฐานข้อมูลเพื่อให้บริการแก่เว็บไซต์ค้นหาอื่นๆ ปัจจุบันได้เปิดเว็บไซต์ค้นหาเอง มีฐานข้อมูลมากกว่าสามพันล้านเว็บไซต์และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน จุดเด่นที่เหนือกว่าผู้ให้บริการรายอื่นๆ คือเป็นเว็บไซต์ค้นหาที่สนับสนุนภาษาต่างๆ มากกว่า 80 ภาษาทั่วโลก (รวมทั้งภาษาไทย) และมีเครื่องเซิร์ฟเวอร์ให้บริการในส่วนต่างๆ ของโลกมากถึง 36 ประเทศ รวมทั้งในประเทศไทย ซึ่งบริการค้นหาของ Google จะแยกฐานข้อมูลออกเป็น 4 หมวด และแต่ละหมวดมีการค้นหาแบบพิเศษเพิ่มเติมด้วย คือ
- เว็บ : เป็นการค้นหาข้อมูลจากเว็บไซต์ต่างๆ ทั่วโลก
- รูปภาพ : เป็นการค้นหารูปภาพหลากหลายฟอร์แมตจากเว็บไซต์ต่างๆ
- กลุ่มข่าว : เป็นการค้นหาเรื่องราวที่น่าสนใจจากกลุ่มข่าวต่างๆ
- สารบนเว็บ : การค้นหาข้อมูลจากเว็บไซต์ที่แยกออกเป็นหมวดหมู่





การสืบค้นข้อมูลภาพ
ในกรณีที่นักเรียนต้องการที่จะค้นหาข้อมูลที่เป็นภาพ เพื่อนำมาประกอบกับรายงาน มีวิธีการค้นหาไฟล์ภาพได้ดังนี้
1. เปิดเว็บ www.google.co.th
2. คลิกตัวเลือก รูปภาพ





3. พิมพ์กลุ่มชื่อภาพที่ต้องการจะค้นหา (ตัวอย่างทดลองหาภาพเกี่ยวกับ ปราสาทหินพิมาย)













4. คลิกปุ่ม ค้นหา







5. ภาพทีค้นหาพบ





6. การนำภาพมาใช้งาน ให้คลิกเมาส์ด้านขวาที่ภาพ > Save Picture as





7. กำหนดตำแหน่งที่จะบันทึกที่ช่อง Save in
8. กำหนดชื่อที่ช่อง File Name
9. คลิกปุ่ม Save









ที่มา : http://media.rajsima.ac.th/sujittra/unit3_p4.html






การสืบค้นแผนที่ด้วย Search Engineขั้นตอนการสืบค้นแผนที่ด้วย Search Engine
1. ทำการเปิดเว็บไซต์ที่ให้บริการ http://www.google.co.th/
2. เลือกหัวข้อที่ต้องการค้น ในที่นี้จะเลือกหัวข้อ “แผนที่”
3. พิมพ์ keyword (ข้อความ) สถานที่ที่ต้องการสืบค้นลงในช่อง text box
4. กดที่ปุ่ม “ค้นหา Maps”
5. ระบบจะทำการค้นหาสถานที่ที่ต้องการ แล้วแสดงออกมาในรูปแบบของแผนที่ รวมไปถึงลิ้งค์ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานที่นั้นๆ อีกด้วย




การสืบค้นวีดิโอด้วย Search Engineขั้นตอนการสืบค้นวีดิโอด้วย Search Engine
1. ทำการเปิดเว็บไซต์ที่ให้บริการ http://www.youtube.com/
2. พิมพ์ keyword (ข้อความ) ที่ต้องการสืบค้นลงในช่อง text box
3. กดที่ปุ่ม “search”
4. ระบบจะทำการค้นหาวีดิโอที่ตรงกับ keyword ที่ต้องการ และแสดงวีดิโอที่ค้นหาพบ





การสืบค้นคำศัพท์ด้วย Search Engine
ขั้นตอนการสืบค้นคำศัพท์ด้วย Search Engine
1. ทำการเปิดเว็บไซต์ที่ให้บริการ http://dict.longdo.com
2. พิมพ์คำศัพท์ที่ต้องการสืบค้นลงในช่อง text box
3. เลือกบริการ “dictionary”
4. กดที่ปุ่ม “submit”
5. ระบบจะทำการค้นหาคำศัพท์ที่ต้องการพร้อมคำแปล


วันพุธที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

chat (การสนทนา)



การสนทนา คือ

การสนทนา หมายถึง การพูดระหว่างบุคคลตั้งแต่ 2 คน ขึ้นไป ผลัดกันพูดและผลัดกันฟัง
การสนทนามีหลายลักษณะ อาจจะเป็นลักษณะที่ไม่เป็นแบบแผนคุยตามสบายไม่จำกัดเรื่องที่สนทนา
เช่น การสนทนาในครอบครัว การสนทนากันในเพื่อนผู้เรียนที่รู้จักสนิทสนมกัน เป็นต้น แต่ในการ
สนทนาบางครั้งเป็นการสนทนาที่มีแบบแผน ซึ่งต้องมีการตระเตรียมล่วงหน้า ส่วนใหญ่จะเป็นการ
สนทนาเชิงวิชาการ แต่ในที่นี้จะพูดถึงการสนทนาที่ไม่เป็นแบบแผน คือการสนทนากับบุคคลที่รู้จักคุ้นเคย และบุคคลแรกรู้จัก การสื่อสารลักษณะนี้มีความสำคัญและเราได้ใช้เป็นประจำยิ่งในครอบครัวในที่ทำงาน ในสถานศึกษาหรือในกลุ่มของผู้เรียน ถ้ามีการสนทนากันด้วยดี ก็จะนำความสัมพันธ์
ฉันพี่น้อง ฉันมิตรมาให้ กระทำสิ่งใดก็ราบรื่น เกิดความสามัคคีและนำความสุขมาให้แต่ในทางตรงข้ามถ้าการสนทนาไม่เป็นไปด้วยดี ก็ย่อมก่อให้เกิดการแตกร้าว ขาดสามัคคี มีแต่ความสับสนวุ่นวายการสนทนาระหว่างบุคคลที่รู้จักคุ้นเคยมีสิ่งสำคัญที่ต้องนึกถึงอยู่ 2 เรื่อง คือ เรื่องที่สนทนาและคุณสมบัติของผู้ร่วมสนทนา

ก. เรื่องที่สนทนา

เรื่องที่นำมาสนทนา จะทำให้การสนทนาดำเนินไปด้วยดีมีผลดีต่อทั้งสองฝ่ายนั้น ควรมีลักษณะดังนี้

1. ควรเป็นเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายมีความรู้และความสนใจร่วมกันหรือตรงกัน

2. ควรเป็นข่าวหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น ๆ เช่นเป็นข่าวในหนังสือรายวัน
ภาวะเศรษฐกิจ ปัญหาการครองชีพ เหตุการณ์ทางการเมืองในขณะนั้น เป็นต้น

3. ควรเป็นเรื่องที่เหมาะกับโอกาส กาลเทศะ และเหตุการณ์ เช่น ถ้าเป็นการสนทนางานมงคล
ก็ควรพูดแต่สิ่งที่เป็นมงคลเป็นสิ่งดีงาม ไม่พูดในสิ่งที่ไม่เป็นมงคล หรือเรื่องร้ายในขณะเดียวกัน
ถ้าเป็นงานที่เศร้าโศกกลับไปพูดเรื่องสนุกสนานก็ไม่สมควร

4. ควรเป็นเรื่องที่ไม่สร้างความวิตกกังวล ความเครียดให้กับคู่สนทนา ควรเป็นเรื่องที่ทำให้
เกิดความพอใจความสบายใจหรือความสนุกสนาน

เรื่องที่ควรงดเว้นที่จะนำมาสนทนาได้แก่

1. เรื่องส่วนตัวของตนเองและเรื่องที่คู่สนทนาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย

2. เรื่องที่เป็นการนินทาผู้อื่น เรื่องที่ไม่เป็นสาระแก่นสาร

3. คุยโวโอ้อวดความสามารถของตนเอง

4. เรื่องความทุกข์ร้อนของตน ความโชคร้ายเพื่อขอความเห็นใจ ยกเว้นการสนทนากับ
ผู้ใกล้ชิดสนิทสนมกันจริงๆ
ข. คุณสมบัติของผู้ร่วมสนทนา

1. มีความรอบรู้ในเรื่องต่างๆ พอสมควร มีการติดตามเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงของบ้านเมือง
และโลกอยู่เสมอ

2. ใช้ถ้อยคำสุภาพ ระมัดระวังในการใช้ภาษาให้เหมาะสมเป็นกันเอง แสดงการเอาใจใส่
และกิริยาท่าทางยิ้มแย้มแจ่มใส มีการขอโทษ ขออภัยเมื่อพูดผิดพลาด มีการขานรับด้วยคำ ครับ ค่ะใช่ครับ ใช่ค่ะ จริงครับ ถูกแล้วค่ะ

3. เป็นผู้พูดและผู้ฟังที่ดี ให้โอกาสคู่สนทนาได้พูดขณะที่เขาพูดไม่จบก็ต้องรอไว้ก่อน
แม้จะเบื่อหน่ายก็ต้องอดทนเก็บความรู้สึกไว้ ไม่แสดงกิริยาอาการเบื่อหน่ายให้เห็น ให้โอกาสคู่สนทนา
ได้พูดและแสดงความคิดเห็นให้มากที่สุด

4. รู้จักสังเกตความรู้สึกของคู่สนทนา ซึ่งจะแสดงออกทางสีหน้าท่าทางและน้ำเสียง คำพูด
ถ้าหากสังเกตเห็นว่าคู่สนทนาไม่สนใจฟัง ไม่กระตือรือร้น ดูสีหน้าแสดงความเบื่อหน่ายก็ให้เปลี่ยน
บรรยากาศด้วยการเปลี่ยนเรื่องสนทนา หรือพยายามสังเกตให้ทราบถึงสาเหตุที่ทำให้คู่สนทนาไม่สนใจ
เกิดการเบื่อหน่ายแล้วจึงแก้ไขตามสาเหตุนั้น เช่น เห็นว่าคู่สนทนามีกิจธุระที่จะทำ เราก็ปรับเวลาของ
การสนทนาให้สั้นเข้าหรือให้พอเหมาะพอควร

5. พูดให้กระชับตรงประเด็น ให้รู้ว่าสิ่งใดควรพูด สิ่งใดไม่ควรพูด สิ่งใดคู่สนทนาพอใจ
สิ่งใดคู่สนทนาไม่พอใจ ไม่พูดข่มขู่ ไม่ผูกขาดการพูด หากคู่สนทนาผิดพลาดไม่ควรตำหนิโดยตรง
ควรมีวิธีการและใช้คำพูดที่แยบยลเพื่อให้เขารู้สึกได้เอง

แชท คือ การเขียนบทสนทนาระหว่างคนสองคนหรือมากกว่านั้น โดยใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ (เครือข่ายท้องถิ่น บริการออนไลน์, อินเตอร์เน็ต ฯลฯ) คุณสามารถสนทนากับผู้สนทนา และได้รับคำตอบในทันที เมื่อผู้สนทนาเขียน และส่งข้อความ คู่สนทนาจะได้รับข้อความในทันที ผู้ใช้จำนวนมากสามารถติดต่อสื่อสารได้อย่างสะดวก และรวดเร็ว คุณสามารถสนทนากันได้โดยออนไลน์ในเวลาเดียวกัน และสนทนาในระบบเดียวกัน การใช้บริการอินเตอร์เน็ตส่วนใหญ่ ใช้เพื่อการสนทนา ทุกระบบของการสนทนาทำงานเหมือนกัน ระบบลูกกับระบบแม่จะเชื่อมต่อกันบนเครือข่าย การสนทนาหรือการแชทนั้นมีสองทางเลือก คือ ห้องสนทนา เป็นที่ที่คุณสามารถสนทนากันในหัวข้อที่เฉพาะเจาะจง และห้องสนทนาส่วนตัว เป็นที่ที่คุณสามารถสนทนาได้โดยตรงกับคู่สนทนาของคุณ ที่คุณต้องการจะสนทนาด้วย


วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Download (การถ่ายโอนแฟ้มข้อมูล)


download คืออะไร

การดาวน์โหลด (Download) หมายถึง การดึงข้อมูลจากคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่งซึ่งเป็นต้นทางมาเก็บไว้ยังเครื่องของเรา โดยผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์

การอัพโหลด (Upload) หมายถึง การนำข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้อยู่ไปเก็บไว้ยังเครื่องคอมพิวเตอร์อีกเครื่องที่ปลายทาง โดยผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์เรียกได้ว่าตรงกันข้ามกับดาวน์โหลด

ประเภทของโปรแกรมที่ให้บริการในอินเทอร์เน็ต

โดยทั่วไปโปรแกรมหรือไฟล์ที่เก็บอยู่ในโฮสต์ (เครื่องให้บริการ) มีหลายประเภทหากแบ่งตามลักษณะของการถ่ายโอนข้อมูล จะแบ่งเป็น 3 ประเภทคือ

1. ฟรีแวร์ (Freeware) หมายถึงโปรแกรมที่มีผู้สร้างขึ้นเพื่อแจกจ่ายให้แก่สาธารณชนใช้ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตสามารถดาวน์โหลดโปรแกรมฟรีแวร์ไปใช้เองและถ่ายโอนให้ผู้อื่นต่อไปได้ โดยมีข้อแม้ว่าจะต้องไม่นำไปขายหรือหารายได้จากโปรแกรมนั้น เช่น โปรแกรม Linux เป็นต้น

2. แชร์แวร์ (Shareware) หมายถึง โปรแกรมที่มีผู้สร้างขึ้นเพื่อตั้งใจจะจำหน่าย แต่ยอมให้ผู้สนใจนำไปทดลองใช้ก่อนโดยไม่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ แต่ถ้าหากพอใจและต้องการใช้งานอย่างจริงจัง จะต้องจ่ายเงินซื้อโปรแกรมดังกล่าวจึงจะได้โปรแกรมฉบับสมบูรณ์

3. คอมเมอร์เชียลแวร์ (Commercial ware) หมายถึง โปรแกรมที่สร้างขึ้นมาเพื่อจำหน่วย ไม่มีการแจกฟรี ผู้ใช้อาจจะได้ดูตัวอย่างบ้างแต่ไม่สามารถนำไปใช้งานได้ ถ้าหากต้องการจะต้องซื้อจึงจะดาวน์โหลดโปรแกรมมาใช้งานได้

โปรแกรมดาวน์โหลด-อัฟโหลดข้อมูลที่น่าสนใจ

1. โปรแกรม GetRigth

เป็นโปรแกรมเอฟทีพีที่ได้รับความนิยมมาก มีคุณสมบัติที่เด่น เช่นดาวน์โหลดไฟล์ขนาด

ใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว กรณีที่สายโทรศัพท์หลุดในระหว่างดาวน์โหลด โปรแกรมจะช่วยต่อโทรศัพท์อัตโนมัติ เมื่อดาวน์โหลดโปรแกรมเสร็จจะวางหูโทรศัพท์ให้ นอกจากนั้นช่วยปิดโทรศัพท์ให้เมื่อดาวน์โหลดเสร็จ และตั้งเวลาในการดาวน์โหลดไฟล์อัตโนมัติให้อีกด้วย

2. โปรแกรม Teleport Pro

เป็นโปรแกรมดาวน์โหลดที่นิยมใช้อีกโปรแกรมหนึ่ง เหมาะสำหรับดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่ มีข้อมูลและรูปภาพปริมาณจำนวนมาก ทั้งนี้สามารถดาวน์โหลดเว็บไซต์ทั้งเว็บไวต์แล้วนำมาเปิดดูได้ภายหลัง โดยข้อมูลหรือเว็บไซต์ที่ดาวน์โหลดมาใช้งานนั้นจะสามารถนำมาให้บริการในลักษณะของ อินเทอร์เน็ตออฟไลน์ (Off-line) ที่เสมือนกับการใช้งานอินเทอร์เน็ตตามปกติ

โปรแกรม Teleport Pro นี้เป็นโปรแกรมประเภทแชร์แวร์หรือทดลองให้ใช้ ถ้าสนใจใช้เต็มรูปแบบต้องเสียค่าลงทะเบียนใช้เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้สามารถดาวน์โหลดโปรแกรมดังกล่าวมาทดลองใช้ที่ www.download.com

3. โปรแกรม Go!Zilla

โปรแกรมที่มีความสามารถโดดเด่นหลายประการ เช่น ดาวน์โหลดได้เร็ว ป้องกันสายหลุด ดาวน์โหลดได้หลายๆ ไฟล์พร้อมกัน และที่สำคัญโปรแกรมนี้ใช้งานได้ฟรี ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ สามารถดาวน์โหลดโปรแกรมนี้ได้ที่ www.gozilla.com

4. โปรแกรม WS-FTP

เป็นโปรแกรมอัพโหลดและดาวน์โหลดที่ได้รับความนิยมสูงซึ่งมีการพัฒนาปรับปรุงมา

อย่างต่อเนื่อง ถือเป็นโปรแกรมที่สนับสนุนการดาวน์โหลดไฟล์พร้อมๆ กันและน่าใช้อีกโปรแกรม

5. โปรแกรม CuteFTP

เป็นโปรแกรมที่ได้รับความนิยมอีกโปรแกรมหนึ่งที่สนับสนุนการดาวน์โหลดและ

อัฟโหลด สามารถดาวน์โหลดโปรแกรมมาใช้ได้จากเว็บไซต์ www.cuteftp.com มีคุณสมบัติ

ที่น่าสนใจ เช่น

1. สามารถดาวน์โหลดไฟล์ได้ต่อเนื่อง

2. สามารถหยุดขณะดาวน์โหลดได้โดยไม่เสียการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์

3. จัดลำดับการถ่ายโอนข้อมูลตามลำดับที่เลือกไว้

4. สร้างเว็บมิเรอร์ (Web Mirror) ของเว็บไซต์ทั้งหมด

5. สามารถกำหนดการอัฟโหลดไฟล์ด้วยตัวอักษรพิมพ์เล็ก พิมพ์ใหญ่หรือคงรูปแบบเดิม

วิธีการดาวน์โหลดข้อมูลจากเว็บไซต์

ในที่นี้จะขอกล่าวถึงการดึงข้อมูลมายังเครื่องที่เราใช้อยู่ ที่เรียกว่า การดาวน์โหลดข้อมูล (Download) โดยเป็นการดาวน์โหลดข้อมูลผ่านเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่ให้บริการไฟล์ โปรแกรมฟรีหรือทดลองใช้ โดยมีขั้นตอนการปฏิบัติ ดังนี้

1. เข้าไปยังเว็บไซต์ที่ให้บริการดาวน์โหลด ในที่นี้เลือก www.download.com พิมพ์ URL ที่ช่อง Address
2. เลือกหาโปรแกรมที่ต้องการดาวน์โหลด โดยการพิมพ์ชื่อโปรแกรมลงในช่องค้นหาชื่อโปรแกรม เช่น ต้องการโปรแกรม Winamp เสร็จแล้ว คลิกปุ่ม Search


3. คลิกเลือกโปรแกรมที่ต้องการ คือ โปรแกรม Winamp

4. เว็บไซต์จะบอกรายละเอียดของโปรแกรมที่ต้องการจะดาวน์โหลด เช่น ประเภท รุ่น วันที่ ขนาดไฟล์ คุณภาพของโปรแกรม เป็นต้น

5. คลิกเลือกปุ่ม Download


6. จะปรากฎหน้าต่าง Save as ให้เลือกโฟลเดอร์ที่ต้องการเก็บโปรแกรม

7. คลิกปุ่ม Save

8. โปรแกรมจะทำการดาวน์โหลด โดยมีหน้าต่างแสดงการโอนย้ายไฟล์ให้มองเห็น และเมื่อดาวน์โหลดเสร็จ ก็ติดตั้งโปรแกรมนั้นตามขั้นตอนการติดตั้งของโปรแกรมต่อไป

สรุป Download คือการโอนย้ายไฟล์หรือข้อมูลจากที่หนึ่งไปอีกทีหนึ่ง เช่น การโอนไฟล์หรือว่าข้อมูลมาจาก อินเตอร์เนต หรือว่า จากคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ เข้ามาบันทึกเอาไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา ในทางกลับกัน ถ้าเราจะนำไฟล์หรือข้อมูลของเรา
ไปบันทึกไว้เครื่องอื่น ที่มีการเชื่อมต่อกันมากกว่า 2 เครื่อง การโอนไฟล์หรือข้อมูลจากเครื่องของเรา
ไปบันทึกไว้บนเครื่องแม่ข่ายที่ใ้ห้บริการฝากข้อมูล หรือเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น จะเรียกว่า Upload ถ้าเรารับข้อมูลมา เรียกว่า การ Download ถ้าเราส่งข้อมูลออกไป เรียกว่า การ Upload



วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ความหมายอีการ์ด


E-Card คืออะไร อี การ์ด คือบัตรอวยพรอิเลคโทรนิค


E-Card คืออะไร
E-Card หรือ Electronic Card หมายถึง บัตรอวยพร หรือ บัตรทักทายในรูปแบบอิเลคโทรนิค ซึ่งในปัจจุบันมีเว็บไซต์เป็นจำนวนมากทั้งไทยและต่างประเทศ ที่ให้บริการส่ง e-card ในวาระหรือเทศกาลต่าง ๆ ที่แสนสะดวกสบาย ซึ่งมีทั้งแบบที่เสียค่าใช้จ่ายและไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย มีการ์ดแบบต่าง ๆ ให้เลือกมากมายหลายแบบ แต่ละแบบจะบรรจุข้อความ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และเสียงเพลง ที่ผู้ส่งสามารถเลือกตกแต่งได้เองตามที่ต้องการ
ข้อมูลที่ควรจะเตรียมไว้ก่อนที่จะใช้บริการส่ง e-card ก็คือชื่อ-นามสกุล และE-Mail address ของผู้รับและของตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการที่เว็บไซต์ต่าง ๆ เหล่านั้น จะใช้เป็นเส้นทางส่ง e-card ไปถึงผู้รับปลายทาง และใช้แจ้งให้ผู้ส่งทราบว่าผู้รับ e-card ได้เปิดอ่าน e-card นั้นแล้วหรือยัง

วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เวิลด์ไวด์เว็บ


ความหมายของเวิลด์ไวด์เว็บ เว็บเบราด์เซอร์


เวิลด์ไวด์เว็บ (World Wide Web)

เวิลด์ไวด์เว็บ นิยมเรียกสั้นๆ ว่าเว็บ หรือ WWW ถือเป็นส่วนที่น่าสนใจที่สุดบนอินเทอร์เน็ตเพราะ
สามารถแสดงสารสนเทศต่างๆ ได้หลากหลาย เช่น นิตยสารหรือหนังสือพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ข้อมูลด้านดนตรี
กีฬา การศึกษา ซึ่งสามารถนำเสนอได้ทั้งภาพ เสียง รวมถึงภาพเคลื่อนไหว เช่นแฟ้มภาพวีดิทัศน์หรือตัวอย่าง
ภาพยนตร์ และการสืบค้นสารสนเทศในเวิลด์ไวด์เว็บนั้นจำเป็นต้องอาศัยโปรแกรมค้นดูเว็บ (web browser)
ในการเข้าถึงแหล่งข้อมูล โดยที่เว็บกับโปรแกรมค้นผ่านจะทำหน้าที่รวบรวมและกระจายเอกสารที่เครือข่าย
ที่ทำไว้

เบราด์เซอร์ (Browser)



ชนิดหนึ่งที่ใช้ในการแสดงผลข้อมูลเว็บต่างๆทั้งในรูปแบบของ HTML
(Hypertext Markup language), PHP, CGI, JavaScript ต่างๆเพื่อใช้ในการค้นหาข้อมูลเพื่อ
ความบันเทิงหรือธุรกรรมอื่นๆเป็นต้น
ในอดีตนั้น Web Browserที่ได้รับความนิยมอย่างสูงสุดคงหนีไม่พ้น Web Browser ของ Netscape
ในช่วงนั้น Microsoft ยังไม่ได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับ Web Browser มากนัก แต่ต่อมาไม่นาน Internet
ก็ได้มีความเจริญมากขึ้นตามลำดับ Microsoftจึงได้ปล่อย Web Browser ชนิดหนึ่งออกมาสู้กับทาง
Netscape นั้นคือIE (Internet Explorer) ในช่วงแรกของการแข่งขันนั้นทั้ง 2 ได้มีผู้ใช้งานอย่าง
สูสีกันมาตลอดแต่ในที่สุด IE ก็ได้รับชัยชนะไปและได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบันแต่แล้วในปัจจุบันได้มี
webBrowser น้องใหม่ออกมาอีกหนึ่งตัวนั้นคือMozilla Firefox ซึ่งได้ออกมาในภาพลักษณ์ของ web
browser ที่มีความปลอดภัยสูงและโหลดหน้าwebpage ได้เร็วกว่าทาง Mozilla ได้ออกมาบอกว่าได้มีผู้โหลดโปรแกรมนี้ไปใช้งานมากกว่า ล้านครั้งและมีทีท่าว่าจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆบัดนี้สงคราม web browser ทั้ง 2 กำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด
อ้างอิง//http://www.viruscom2.com/web-browser.html

E-mail จดหมายอิเล็กทรอนิกส์


จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (E-Mail)
Posted on มิถุนายน 13, 2010 by krukoon


E-Mail คืออะไร
……จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (E-Mail) คือ การส่งข้อความหรือข่าวสารจากบุคคลหนึ่งไปยังบุคคลอื่นๆ ผ่านทางคอมพิวเตอร์และระบบเครือข่ายเหมือนกับการส่งจดหมาย แต่อยู่ในรูปแบบของสัญญาณข้อมูลที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์ โดยเปลี่ยนการนำส่งจดหมายจากบุรุษไปรษณีย์มาเป็นโปรแกรม และเปลี่ยนจากการใช้เส้นทางจราจรคมนาคมทั่วไปมาเป็นช่องสัญญาณรูปแบบต่างๆ ที่เชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะตรงเข้ามาสู่ Mail Box ที่ถูกจัดสรรใน Server ของผู้รับปลายทางทันที…

เราใช้ E-Mail ทำอะไรกัน
……ปัจจุบันนี้ด้วยระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงถึงกันทั่วโลก ทำให้ระบบการติดต่อสื่อสารข้อมูลถึงกันสามารถทำได้อย่างง่ายดาย อินเตอร์เน็ตนับเป็นระบบจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เพราะมีผู้ใช้งานมากกว่า 25 ล้านคน ติดต่อเข้าใช้อินเตอร์เน็ต เพื่อส่ง E-Mail
……E-Mail นับเป็นทางเลือกใหม่ของการติดต่อสื่อสาร ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีระบบเครือข่าย ทำให้การส่งหรือรับ E-Mail ไม่ว่าผู้ส่งและผู้รับจะอยู่ที่ใด เป็นไปได้ในช่วงเวลาที่สั้นและรวดเร็ว สามารถส่งหรือรับข้อมูลได้ทันที และตลอดเวลาที่เครื่องคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อเข้าสู่ระบบ โดยค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจะสัมพันธ์กับค่าโทรศัพท์ที่ใช้ และค่าธรรมเนียมในการขอใช้บริการจากผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต
……เราใช้ E-Mail เพื่อส่งข้อมูลที่สามารถจัดเก็บในรูปแบบของแฟ้มข้อมูล (File) คอมพิวเตอร์ได้ทุกประเภท ไม่ว่านั่นจะเป็นเพียงข้อความจดหมายเพื่อพูดคุยธรรมดาหรือเป็นแฟ้มข้อมูลรูปภาพ รวมทั้งยังสามารถแนบแฟ้มข้อมูลเอกสาร หรือข้อมูลต่างๆได้อีกด้วย
ในเชิงธุรกิจ E-Mail จะช่วยลดค่าใช้จ่ายและระยะเวลาในการติดต่อสื่อสาร นอกจากนี้ยังสามารถส่งจดหมายฉบับเดียวกันถึงผู้รับปลายทางได้เป็นจำนวนมาก ทำให้มีการนำ E-Mail มาใช้เพื่อการโฆษณา หรือประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการได้อีกด้วย

มาทำความรู้จักและเรียนรู้วิธีใช้งาน E-Mail กัน
……ในการใช้งาน E-Mail จำเป็นจะต้องมี E-Mail Address เสียก่อน โดย E-Mail Address จะเป็นเหมือนที่อยู่ทางอินเตอร์เน็ตของแต่ละคน มักจะแทนด้วยชื่อหรือรหัสที่ใช้แทนตัว แล้วตามด้วยชื่อของ Mail Server ที่ให้บริการ เช่น somchai@isp.co.th โดยทั่วไป E-Mail Address จะประกอบด้วย
- User ID ใช้เป็นชื่อหรือรหัสประจำตัวของผู้ใช้บริการแต่ละคน
- เครื่องหมาย @
- Domain Name ของ Mail Server ที่ใช้บริการ
เมื่อต้องการส่ง E-Mail มีส่วนประกอบสำคัญที่ต้องให้รายละเอียด คือ
1. To: ระบุ E-Mail Address ของผู้รับปลายทาง
2. Subject: ใส่หัวเรื่องย่อๆของเนื้อหา
3. CC (Carbon Copy): เป็นการระบุ E-Mail Address ของผู้ที่เราต้องการให้ได้รับสำเนาของจดหมายฉบับนี้ด้วย
4. BCC (Blind Carbon Copy): เช่นเดียวกับ CC แต่ทำให้ผู้รับไม่ทราบว่าเราต้องการ ส่งใคร
5. Attachment: เราสามารถแนบไฟล์ไปกับการส่ง E-Mail ด้วยก็ได้
6. Body: เป็นเนื้อหาข้อความของจดหมาย

วันพุธที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต



บทที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต
ความหมายของอินเทอร์เน็ต
อินเทอร์เน็ต ( Internet ) คือ เครือข่ายของคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั่วโลก เข้าด้วยกัน โดยอาศัยเครือข่ายโทรคมนาคมเป็นตัวเชื่อมเครือข่าย ภายใต้มาตรฐานการเชื่อมโยงด้วยโปรโตคอลเดียวกันคือ TCP/IP (Transmission Control Protocol / Internet Protocol) เพื่อให้คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในอินเทอร์เน็ตสามารถสื่อสารระหว่างกันได้ นับว่าเป็นเครือข่ายที่กว้างขวางที่สุดในปัจจุบัน เนื่องจากมีผู้นิยมใช้ โปรโตคอลอินเทอร์เน็ตจากทั่วโลกมากที่สุด อินเทอร์เน็ตจึงมีรูปแบบคล้ายกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระบบ WAN แต่มีโครงสร้างการทำงานที่แตกต่างกันมากพอสมควร เนื่องจากระบบ WANเป็นเครือข่ายที่ถูกสร้างโดยองค์กรๆ เดียวหรือกลุ่มองค์กร เพื่อวัตถุประสงค์ด้านใดด้านหนึ่ง และมีผู้ดูแลระบบที่รับผิดชอบแน่นอน แต่อินเทอร์เน็ตจะเป็นการเชื่อมโยงกันระหว่างคอมพิวเตอร์นับล้านๆ เครื่องแบบไม่ถาวรขึ้นอยู่กับเวลานั้นๆ ว่าใครต้องการเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ตบ้าง ใครจะติดต่อสื่อสารกับใครก็ได้ จึงทำให้ระบบอินเทอร์เน็ตไม่มีผู้ใดรับผิดชอบหรือดูแลทั้งระบบ
ความเป็นมาของอินเทอร์เน็ต
ความเป็นมาของอินเตอร์เน็ตในต่างประเทศ
- อินเตอร์เน็ต ซึ่งเป็นโครงการของ ARPAnet (Advanced Research Projects Agency Network) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่สังกัด กระทรวงกลาโหม ของสหรัฐ(U.S.Department of Defense - DoD) 
- ค.ศ.1960 (พ.ศ.2503) ARPA ได้ถูกก่อตั้งและได้ถูกพัฒนาเรื่อยมา
- ค.ศ.1969 (พ.ศ.2512) ARPA ได้รับทุนสนันสนุน จากหลายฝ่าย ซึ่งหนึ่งในผู้สนับสนุนก็คือ Edward Kenedy และเปลี่ยนชื่อจาก ARPA เป็นDARPA(Defense Advanced Research Projects Agency) พร้อมเปลี่ยนแปลงนโยบายบางอย่าง และในปีค.ศ.1969(พ.ศ.2512)นี้เองที่ได้ทดลองการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์คนละชนิด จาก 4 แห่งเข้าหากันเป็นครั้งแรก คือ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย สถาบันวิจัยสแตนฟอร์ด มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย และมหาวิทยาลัยยูทาห์ เครือข่ายทดลองประสบความสำเร็จอย่างมาก ดังนั้นในปีค.ศ.1975(พ.ศ.2518) จึงได้เปลี่ยนจากเครือข่ายทดลอง เป็นเครือข่ายที่ใช้งานจริง ซึ่ง DARPA ได้โอนหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง ให้แก่ หน่วยการสื่อสารของกองทัพสหรัฐ (Defense Communications Agency - ปัจจุบันคือ Defense Informations Systems Agency) แต่ในปัจจุบัน Internet มีคณะทำงานที่รับผิดชอบบริหารเครือข่ายโดยรวม เช่น ISOC (Internet Society) ดูแลวัตถุประสงค์หลัก, IAB (Internet Architecture Board) พิจารณาอนุมัติมาตรฐานใหม่ในInternet, IETF (Internet Engineering Task Force) พัฒนามาตรฐานที่ใช้กับInternet ซึ่งเป็นการทำงานโดยอาสาสมัคร ทั้งสิ้น- ค.ศ.1983 (พ.ศ.2526) DARPA ตัดสินใจนำ TCP/IP (Transmission Control Protocal/Internet Protocal) มาใช้กับคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในระบบ ทำให้เป็นมาตรฐานของวิธีการติดต่อ ในระบบเครือข่าย Internet จนกระทั่งปัจจุบัน จึงสังเกตุได้ว่า ในเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่จะต่อ internet ได้จะต้องเพิ่มTCP/IP ลงไปเสมอ เพราะTCP/IP คือข้อกำหนดที่ทำให้คอมพิวเตอร์ทั่วโลก ทุก platform คุยกันรู้เรื่อง และสื่อสารกันได้อย่างถูกต้อง
- การกำหนดชื่อโดเมน (Domain Name System) มีขึ้นเมื่อ ค.ศ.1986 (พ.ศ.2529) เพื่อ สร้างฐานข้อมูลแบบกระจาย (Distribution database) อยู่ในแต่ละเครือข่าย และให้ ISP(Internet Service Provider) ช่วยจัดทำฐานข้อมูลของตนเอง จึงไม่จำเป็นต้องมีฐานข้อมูลแบบรวมศูนย์ เหมือนแต่ก่อน เช่น การเรียกเว็บwww.yonok.ac.th จะไปที่ตรวจสอบว่ามีชื่อนี้ หรือไม่ ที่ www.thnic.co.th ซึ่งมีฐานข้อมูลของเว็บที่ลงท้ายด้วย th ทั้งหมด เป็นต้น- DARPA ได้ทำหน้าที่รับผิดชอบดูแลระบบ internet เรื่อยมาจนถึง - ค.ศ.1980 (พ.ศ.2533) และให้ มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (National Science Foundation - NSF) เข้ามาดูแลแทนร่วม กับอีกหลายหน่วยงาน
ความเป็นมาของอินเตอร์เน็ตในประเทศไทย- พ.ศ. 2530 ประเทศไทยได้มีการเชื่อมโยงเครือข่ายเตอร์เน็ตครั้งแรก โดยมีจุดประสงค์เพื่อเชื่อมโยงกับมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) เชื่อมโยงกับมหาวิทยาลัยเมลเบิร์นในออสเตรเลีย แต่ไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร เนื่องจากการส่งข้อมูลล่าช้า
- พ.ศ. 2535 ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (Nectect) ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT)มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมมือกันเช่าสายโทรศัพท์เพื่อต่อพ่วงคอมพิวเตอร์แต่ละสถาบันเข้าด้วยกัน โดยเรียกเครือข่ายสมัยนั้นว่า "เครือข่ายไทยสาร"
- พ.ศ. 2537 เครือข่ายไทยสารเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และมีหน่วยงานต่างๆของราชการเข้ามาเชื่อมต่อในเครือข่ายมากขึ้นเรื่อยๆ และต่อมาทางหน่วยงานเอกชนมีความต้องการใช้บริการมากขึ้น การสื่อสารแห่งประเทศไทย จึงได้ร่วมมือกับบริษัทเอกชนเปิดให้บริการอินเตอร์เน็ตแก่บิษัทต่างๆ หรือบุคคลทั่วไปที่สนใจ โดยเรียกบริษัทเอกชนที่ให้บริการทางอินเตอร์เน็ตเชิงพาณิชย์ว่า ISP (Internet Service Provider)ใน ความเป็นจริง ไม่มีใครเป็นเจ้าของ internet และไม่มีใครมีสิทธิขาดแต่เพียงผู้เดียว ในการกำหนดมาตรฐานใหม่ต่าง ๆ ผู้ติดสินว่าสิ่งไหนดี มาตรฐานไหนจะได้รับการยอมรับ คือ ผู้ใช้ ที่กระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก ที่ได้ทดลองใช้มาตรฐานเหล่านั้น และจะใช้ต่อไปหรือไม่เท่านั้น ส่วนมาตรฐานเดิมที่เป็นพื้นฐานของระบบ เช่น TCP/IP หรือ Domain name ก็จะต้องยึดตามนั้นต่อไป เพราะ Internet เป็นระบบกระจายฐานข้อมูล การจะเปลี่ยนแปลงระบบพื้นฐาน จึงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก

การประยุกต์ใช้อินเทอร์เน็ต
เราสามารถนำระบบเครือข่าย Internet มาประยุกต์ใช้กับการนิเทศการศึกษาได้หลากหลาย
และ เกือบจะนับว่า Internet มีความจำเป็นอย่างยิ่งในระบบการศึกษาปัจจุบัน และในอนาคต ทั้งนี้จะเห็นได้จากสถาบันการศึกษาเกือบทุกสถาบัน ทั้งในระดับอุดมศึกษา มัธยมศึกษา หรือแม้แต่ประถมศึกษา ได้มีการนำเทคโนโลยี Internet มาใช้ประกอบการเรียนการสอน และนำมาเป็นเครื่องมือในการค้นคว้าหาความรู้สำหรับครู-อาจารย์ มากขึ้นโดยลำดับ บางสถาบัน ได้กำหนดให้มีการลงทะเบียนเรียน แจ้งผลการเรียน หรือแม้กระทั่งเรียนผ่านทาง Internet แล้ว ขณะนี้โรงเรียนในสังกัดกรมสามัญศึกษา ส่วนใหญ่สามารถที่จะเชื่อมต่อใช้งาน Internet
ได้แล้วจากโครงการ SchoolNet และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

ดังนั้น การนิเทศการศึกษาจึงไม่ควรจำกัดเฉพาะการนิเทศโดยตรงเท่านั้น
การ นำเทคโนโลยี Internet มาประยุกต์ใช้กับการนิเทศการศึกษา จึงเป็นนวัตกรรมใหม่ที่จะทำให้การนิเทศการศึกษาขยายขอบข่ายได้กว้างขวางขึ้น
การนำเทคโนโลยี Internet มาประยุกต์ใช้ในการนิเทศ อาจทำได้หลายรูปแบบ เช่น

1. การสร้าง Web page เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารการนิเทศ และข้อมูลเทคนิคเกี่ยวกับการเรียนการสอนต่าง ๆ
2. การใช้ E-mail สำหรับตอบปัญหาในด้านการจัดการเรียนการสอนของครู-อาจารย์และนักเรียน 3. การใช้โปรแกรมที่สามารถติดต่อแบบ Real time เช่น ICQตอบปัญหาข้อข้องใจของครู-อาจารย์ และ นักเรียน หรือใช้สำหรับประชุมทางไกล
4. การสร้างชุดการสอน หรือ CAI บน Internet ในรูปแบบของ Web page

การสร้าง Web page วิธีการนี้เหมาะสำหรับหน่วยงานหรือองค์กรที่ต้องการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ
หรือเพื่อประโยชน์ด้านใดด้านหนึ่ง ผู้ที่จะสร้าง Web pageได้จะต้องเป็นผู้มีความรู้ทางการเขียน
โปรแกรม ภาษา HTML (Hypertext Markup Languaqe) บ้างพอสมควร ปัจจุบัน Web page ของไทยที่เกี่ยวข้องกับการศึกษามีอยู่มากมาย เช่น
Web site ของ โรงเรียนต่าง ๆ ในโครงการ SchoolNet
Web site ของกระทรวงศึกษาธิการ , กรมสามัญศึกษา , หน่วยศึกษานิเทศก์
Web site ของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ หมายเหตุ
Web page หมายถึง หน้าเอกสารแต่ละหน้าที่แสดงผ่านทาง Browser
Home page หมายถึง Web page หน้าแรกของเอกสารที่แสดงผ่านทาง Browser
Web site หมายถึง ข้อมูลทั้งหมดที่แสดงผ่านทาง Browser ซึ่งประกอบด้วย Home page
และ Web page ทั้งหมด Web site เหล่านี้ ผู้สร้างสามารถกำหนดให้ผู้ใช้หรือผู้เยี่ยมชม
สามารถสำเนาข้อมูล แฟ้มเอกสาร หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ ไปใช้งานได้ หรือกำหนดให้ส่ง
E-mail ถึงเจ้าของหรือผู้ดูแลระบบได้ทันที
ดังนั้น วิธีการนิเทศในรูปแบบของการใช้ Web page สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ในกรณีที่ต้องการเผยแพร
่เอกสารทางวิชาการที่เป็นประโยชน์ต่อการเรียนการสอน
หรือนำเสนอข้อมูลต่าง ๆ ได้ E-mail กับการนิเทศ
ศึกษานิเทศก์ สามารถให้การนิเทศได้ทั้งทางตรง และ
ทางอ้อม การนิเทศทางอ้อมที่ประหยัด รวดเร็ว ไม่จำกัด
ช่วงเวลา ได้แก่การใช้ E-mail ในการติดต่อสื่อสาร ซี่ง
ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลที่จะประยุกต์นำไปใช้ เพราะ E-mail ไม่ได้หมายถึงเฉพาะเขียนจดหมายโต้ตอบกันเท่านั้น
แต่ยังสามารถที่จะส่งแฟ้มเอกสาร แฟ้มรูปภาพ และแฟ้ม
ข้อมูล ต่าง ๆ ได้อีกด้วย การใช้โปรแกรมที่ติดต่อกันแบบ
Real time เช่น โปรแกรม ICQ เราสามารถใช้โปรแกรม ICQ
ให้เป็นประโยชน์ต่อการนิเทศก์ ได้ในลักษณะเดียวกับ E-mail
ครู-อาจารย์ หรือนักเรียนที่มีปัญหาเกี่ยวกับการเรียนการสอน สามารถที่จะพูดคุยโต้ตอบกันได้ทันที และสามารถสื่อสารพร้อมกัน
ได้หลาย ๆ คน
ประโยชน์และโทษของอินเทอร์เน็ต

ประโยชน์และโทษของอินเทอร์เน็ต
อิน เทอร์เน็ตเป็นเครื่องเทคโนโลยีสื่อสารที่เอื้ออำนวยความสะดวกให้แกผู้ใช้ บริการ ในลักษณะของการสื่อสารที่ผ่านทางคอมพิวเตอร์ และช่องทางการสื่อสารชนิดต่างๆ ไม่ได้เป็นการสื่อสารจากบุคคลหนึ่งไปยังบุคคลหนึ่งโดยตรง จึงทำให้เกิดทั้งประโยชน์และโทษในการสื่อสารบนอินเทอร์เน็ต

1.ประโยชน์ของอินเทอร์เน็ต
1.สามารถติดต่อสื่อสารกับบุคคลอื่นทั่วโลก
2.สามารถค้นหาข้อมูลต่างๆได้เสมือนกับเราไปนั่งอยู่ที่ห้องสมุดขนาดใหญ่ได้ข้อมูลมากมายจากทั่วทุกมุมโลก
3.เปรียบเสมือนเวที่ให้เข้าไปแสดงความคิดเห็นได้ภายในห้องสนทนา(chat room) และกระดานข่าว(Web room) เป็นการเปิดโลกกว้างและวิสัยทัศน์ในเรื่องที่น่าสนใจ4.สามารถติดตามเคลื่อนไหวจากข่าวสารทั่วโลกอย่างรวดเร็ว
5.สามารถเปิดการค้าได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องหาที่จัดตั้งร้านหรือพนักงานบริการ แต่สามารถทำการค้าได้ด้วยตัวเองคนเดียว
6.สามารถ ซื้อสินค้า โดยไม่ต้องเดินทางไปยังร้านค้า ซื้อผ่านทางเว็บไซต์ที่ให้บริการ การชำระเงินก็สะดวก เช่น ชำระผ่านบัตรเครดิต การหักเงินผ่านบัญชีธนาคาร
7.สามารถรับส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์(E-mail) เป็นการส่งจดหมายที่ไม่ต้องเสียค่าบริการและรับส่งจดหมายได้ภายในและภายนอก ประเทศ นอกจากจดหมายที่เป็นข้อความแล้ว ยังส่งบัตรอวยพรในเทศการต่างๆได้อีก
8.สามารถอ่านนิตยสาร หนังสือพิมพ์ บทความ และเรื่องราวต่างๆได้ฟรีเหมือนกับเราซื้อหนังสือฉบับนั้นมาอ่านเอง
9.สามารถติดประกาศข้อความต่างๆที่ต้องการประกาศให้ผู้อื่นทราบได้ เช่น ประกาศขายบ้าน ประกาศสมัครงาน ประกาศขอความช่วยเหลือ
10.มีของฟรีอีกมากมายที่สามารถใช้บริการได้จากอินเทอร์เน็ต เช่น ภาพ เพลง โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ดูหนัง เกม
2. โทษของอินเทอร์เน็ต
1.อิน เทอร์เน็ตเป็นเครืข่ายขนาดใหญ่ที่มีผู้คนมากมายเข้ามาใช้บริการ เป็นเวทีเปิดกว้างและให้อิสระกับทุกคนที่เข้ามาเขียนข้อมูล หรือติดประกาศต่างๆโดยปราศจากการกลั่นกรองที่ดี ทำให้ข้อมูลที่ได้รับไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นจริงหรือไม่
2.เกิดปัญญาหาของการละเมิดลิขสิทธิ์ เช่น การดาวน์โหลดเพลง หรือรูปภาพมารวบรวมขาย หรือเป็นปัญหาอย่างยิ่งคือ การตัดต่อภาพบุคคลที่มีชื่อเสียงให้กลายเป็นภาพแบบอนาจารหรือเสียหายได้
3.ก่อให้เกิดปัญหาด้านอาชญากรรม เพราะการเล่นอินเทอร์เน็ต เช่น การล่อล่วงหญิงไปในทางที่ไม่ดี การก่อคดีข่มขืน เนื่องจากเว็บไซต์โป๊
4.ก่อให้เกิดปัญหาการหมกหมุ่นของเยาวชนที่เข้าไปในเว็บไซต์ จนทำให้เกิดโรคติดต่อทางอินเทอร์เน็ต ทำให้เกิดอันตรายต่อตนเองเเละสังคมได้


โรคติดต่อทางอินเทอร์เน็ต
เป็นอาการทางจิตประเภทหนึ่ง นักจิตวิทยาชื่อ Kimberly S.Young ได้วิเคราะห์ไว้ว่า บุคคลใดมีอาการต่อไปนี้ อย่างน้อย 4 ประการ เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี แสดงว่าเป็นอาการติดอินเทอร์เน็ต

· รู้สึกหมกหมุ่นกับอินเทอร์เน็ต แม้ในเวลาไม่เข้าอินเทอร์เน็ต

· มีความต้องการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเวลานานขึ้นอยู่เรื่อยๆ

· ไม่สามารถควบคุ้มการใช้อินเทอร์เน็ตได้

· รู้สึกหงุดหงิดเทื่อใช้อินเทอร์เน็ตน้อยลง
· คิดว่าเมือใช้อินเทอร์เน็ตเเล้วทำให้ตัวเองรู้สึกดี 

· ใช้อินเทอร์เน็ตในการหลีกเลี่ยงปัญหา

· หลอกคนใช้ในครอบครัวหรือเพื่อน เรื่องการใช้อินเทอร์เน็ต

· มีอาการผิดปกติเมื่อเลิกใช้อินเทอร์เน็ต เช่น หดหู่ กระวนกระวาย

· อาการ ดังกล่าวมี่มากกว่า 4 ประการในช่วง 1 ปี จะถือว่าเป็นอาการติดอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีผลเสียต่อระบบร่างกาย ทั้งการกิน การขับถ่าย และกระทบต่อการเรียน สภาพสังคมอีกด้วย
มารยาทในการใช้อินเทอร์เน็ต เรียกว่าบัญญัติ 10 ประการ

· ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์หรือละเมิดทำร้ายผู้อื่น

· ต้องไม่รบกวนการทำงานของผู้อื่น

· ต้องไม่สอดแนม แก้ไข หรือเปิดดูแฟ้มผู้อื่น

· ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการโจรกรรม
· ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์สร้างหลักฐานที่เป็นเท็จ

· ต้องไม่คัดลอกโปรแกรมของผู้อื่น

· ต้องไม่ละเมิดในการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์โดยที่ตนเองไม่มีลิขสิทธิ์

· ต้องไม่นำผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตน

· ต้องคำนึงถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับสังคมที่เกิดจากการกระทำของท่าน
· ต้องใช้คอมพิวเตอร์โดยเคารพกฏระเบียบ กติกา มารยาท

บทที่ 2 การเชื่อมต่อินเทอร์เน็ต

บทที่ 2 การเชื่อมต่อินเทอร์เน็ต
การเชื่อมต่อินเทอร์เน็ต
การปรับแต่งคอมพิวเตอร์สำหรับการใช้งานอินเทอร์เน็ต
สำหรับการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตเพื่อใช้งานภายในบ้าน จำเป็นจะต้องมีส่วนประกอบสำคัญที่จะสามารถเชื่อมต่อระหว่างผู้กับผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต ประกอบด้วยส่วนประกอบสำคัญ
อุปกรณ์คอมพิวเตอร์
โมเด็ม
โปรแกรมสำหรับการใช้งานอินเตอร์เน็ต
วิธีการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต
การเลือกผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต

อุปกรณ์คอมพิวเตอร์
เมนบอร์ด มีประสิทธิภาพสูงพอสมควรในปัจจุบันคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานในทั่วไป จะมีซีพียูรุ่น Celeron, Pentium iv และ amd ซีพียุเหล่านี้จะรองรับการใช้งานระบบมัลติมีเดีย ไม่ว่าจะเป็นการ์ดจอ การ์ดเสียง และลำโพง
หน่วยความจำแรม จะขึ้นอยู่กับระบบปฏิบัติการที่ใช้ แต่อย่างน้อยไม่ควรต่ำกว่า 64-128 mb ในปัจจุบันนิยมใช้ windows xp หน่วยความจำแรมไม่ต่ำกว่า 256 mb
จอภาพและการ์ดแสดงผล สามารถแสดงผลได้ตั้งแต่ 256 สีขั้นไป
ระบบมัลติมิเดีย คือ การ์ดเสียงพร้อมลำโพง เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกรุ่นจะมีให้เฉพาะ การ์ดเสียง และลำโพงเท่านั้น อุปกรณ์เสริมอื่นๆ คือ ไมโครโฟน และกล้องเว็บแคม ผู้ใช้จะต้องหาเพิ่มเติมเองเมื่อต้องการใช้งาน

โมด็ม
โมเด็ม หรือ ( modulator/demodulator) มีหน้าที่แปลงข้อมูลในรูปแบบดิจิทัล ของระบบคอมพิวเตอร์ให้เป้นสัญญาณเสียงในรูปแบบแอนะล็อก เพื่อให้สามารถส่งไปทางโทรศัพท์ได้ การ modulate โดยที่ปลายทางก็จะมีโมเด็มทำหน้าที่แปลงสัญญาณเสียงในรูปแบบแอนะล็อก ซึ่งรับมาจากโทรศัพท์ให้กลับมาเป็นข้อมูลแบบดิจิทัล เพื่อใช้งานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ เรียกว่า demodulate เนื่องจากสายโทรศัพท์ส่วนใหญ่จะสามารถส่งข้อมูลได้ ไม่เกิน 56 kbps โมเด็มแบ่งออกเป็น 3 ประเภท
โมเด็มแบบภายใน
โมเด็มแบบภายนอก
โมเด็มแบบ pcmcia

โปรแกรมสำหรับการใช้งานอินเตอร์เน็ต

1. โปรแกรมระบบปฏิบัติการ จำเป็นมากสำหรับการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกชนิด เพราะจะเป็นโปรแกรมที่ทำหน้าที่จัดสรรทรัพยากรต่างๆ ในระบบในระบบ หน่วยความจำ การบันทึกข้อมูล และอุปกรณ์ต่อเชื่อมอื่นๆ
2.โปรแกรมเว็บบราว์เซอร์ คือ โปรมแกรมที่ใช้เปิดเว็บเพจต่างๆ ในอินเตอร์เน็ต โปรมแกรมนี้จะสามารถมากมายที่จะเป็นประโยชน์ในการท่องเว็บ
3.โปรแกรมรับส่งจดหมายอิแล็กทรอนิกส์ ทำหน้าที่ข้อมูลจดหมายโดยสร้างโฟลเดอร์สำหรับเก็บจดหมายไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา
4.โปรแกรมสำหรับการสื่อสารบนอินเตอร์เน็ต ใช้สำหรับการสื่อสารระหว่างผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตด้วยกัน ในรูปแบบของการพิมพ์ข้อความโต้ตอบ เรียกว่า chat
5.โปรแกรมมัลติมีเดียบนอินเตอร์เน๊ต ใช้งานบนระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตในปัจจุบันมีหลากหลายรู้แบบ ทั้งรูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว เสียง วีดีทัศน์

วิธีการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต
จะใช้โมเด็มแบบหมุนโทรศัพท์ เรียกว่า “dial –up’’ ทำหน้าที่แปลงข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ในรูปแบบของดิจิทัล ให้เป็นสัญญาณเสียงในรูปแบบแอนะล็อก เพื่อส่งข้อมูลผ่านทางโทรศัพท์ ความเร็วของการส่งข้อมูลอยู่ที่ 33.6 kbps และสำหรับการรับข้อมูลอยู่ที่ 56 kbps
การรับส่งข้อมูลแบบบรอดแบนด์
1. การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบ isdn ( intergrated services digital network )
2.การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบ adsl ( asymmetric digital subscriberv link )
3.การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบเคเบิลโมเด็ม ( cable modem )
4.การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่านดาวทียม ( satellite )
5.การเชื่อต่ออินเตอร์เน็ตแบบวงจรเช่า ( leased line )
1.การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบ isdn
ถ้าต้องการใช้ระบบ isdn จะต้องขอหมายเลขโทรศัพท์ใหม่ที่เป็น isdn การให้บริการ isdn แบ่งออกเป็น 2 ระดับ
Bai สำหรับผู้ใช้รายย่อย ตามบ้านพัก หรือหน่วยงานขนาดเล็ก มีความเร็วเต็มที่ 128 mbps
Pri สำหรับองค์กรขนาดใหญ่โดยการเดินสายเคเบิลใยแก้วนำแสง จะมีช่องสัญญาณสำหรับการสื่อสาร 30 ช่องสัญญาณ แต่ละช่องมีความเร็วที่ 64 kbps
2.การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบ adsl การบริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงโดยผ่านทาง สามารถ ใช้กับการเชื่อมต่อผ่านทางสายโทรศัพท์แบบเดิม สามารถเปลี่ยนสายโทรศัพท์ธรรมดาให้เป็นสายดิจิทัล มีความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูง
3.การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบเคเบิลโมเด็ม มีความเร็วสูงที่ไม่ต้องใช้สายโทรศัพท์ อาศัยเครือข่ายเคเบิลจากผู้ให้บริการ ถ้าต้องการใช้บริการแบบเคเบิลโมเด็มจะต้องใช้บริการของ asia net การทำงานของเคเบิลโมเด็มจะคล้ายกับ adsl มีการเข้ารหัสสัญญาณดิจิทัลด้วยความถี่สูง แล้วส่งผ่านสายเคเบิลไปยัง ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต กรณีนี้สายโคแอกเซียลทำให้สามารถรับส่งข้อมูลได้ด้วยความเร็วสูง
4.การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่านดาวเทียม
เป็นบริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง มีผู้ให้บริการเพียงรายเดียว cs internet ในเครือชินคอร์ปอเรชั่นเจ้าของดาวเทียมไทยคม การรัยข้อมูลด้วยสัญญาณความเร็วสูงมามายังผู้ใช้ในระดับเมกะบิตผ่านดาวเทียมโดยผู้ใช้จะต้องติดตั้งจานรับสัญญาณดาวเทียม ส่วนการส่งข้อมูล ทำการผ่านทางโมเด็มและสายโทรศัพท์มีความเร็วแค่ 56 kbps การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่านดาวเทียม เป็นช่องทางที่ถูกรบกวนได้ง่ายจากสภาพดินฟ้าอากาศควรเตรียมช่องทางอื่นในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตไว้สำรองในการใช้งาน
5.การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบวงจรเช่า
การเชื่อมเอนเตอร์แบบ leased line จะเหมาะกับการใช้งานสำหรับองค์กร สถาบันการศึกษา หรือระบบธุรกิจต่างๆที่มีผู้บริการเอนเตอร์เน็ตเป็นจำนวนมาก โดยไม่ต้องหมุนโทรศัพท์เข้าไปยังศูนย์บริการอินเตอร์เน็ตเพราะการเชื่อมแบบ leased line จะเชื่อมกับเครือข่ายอินเตอร์เน็ตตลอด 24 ชั่วโมง
ค่าใช้จ่ายในการเช่าต้องเป็นรายเดือน โดยจะเสียค่าบริการตามความเร็วที่เช่าสายสัญญาณเป็นอัตราเดียวกันทุกเดือน และไม่ต้องเสียค่าบริการตามชั่วโมงการใช้งานอีก
ในองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีผู้ใช้บริการเอนเตอร์เน็ตจำนวนมาก จะนิยมการเชื่อมต่อเอนเตอร์เน็ตแบบนี้ เพราะสามารถใช้งานเอนเตอร์เน็ตได้โดยไม่จำกัดปริมาณการงาน โดยเฉพาะสถาบันการศึกษาต่างๆ จะต้องให้บริการแก่นักเรียน นักศึกษา และบุคลากรในหน่วยงาน

การเลือกให้ผู้บริการเอนเตอร์เน็ต (isp)
โดยมีวิธีหลักการที่ต้องคำนึง ดังต่อไปนี้
1. ความน่าเชื่อถือ ควรจะพิจารณาว่าผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตบริษัทนั้นมีความน่าถือในการให้บริการมากน้อยเพียงใด ซึ่งจะสามารถหาข้อมูลได้โดยการสอบถามจากผู้เคยใช้บริการโดยตรง
2. ประสิทธิภาพของระบบ โดยพิจารณาจากความเร็วใยการรับส่งข้อมูล การเชื่อมต่อกับสายโทรศัพท์หลุดบ่อยหรือไม่ หรือในขณะที่เรากำลังทำการโอนย้ายข้อมูล และเกิดสายโทรศัพท์หลุดก็จะทำให้เราต้องเสียเวลาในการโอนย้ายข้อมูลใหม่
3. หมายเลขโทรศัพท์ ผู้ให้บริการเอนเตอร์เน้ตจะต้องมีช่องทางให้กับบริการด้วยโมเด็ม ดังนั้นจำนวนผู้บริการจะต้องสำพันธ์กับหมายเลขโทรศัพท์ที่จัดหาไว้
4. อัตราการใช้โมเด็ม ผู้ให้บริการเอนเตอร์เน็ตจะต้องมีคู่สายโมเด็มเพียงพอต่อการรองรับการใช้บริการของลูกค้า
5. ค่าบริการ โดยเราเลือกซื้อตามปริมาณการใช้งานของเราได้เพื่อให้คุ้มค่าต่อปริมาณค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายไป
6. ค่าธรรมเนียมต่างๆ พิจารณาว่าผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตแต่ละแห่ง นอกเหนืออัตราค่าบริการแล้วมีการคิดค่าธรรมเนียมอื่นๆ อีกหรือไม่
7. บริการเสริม ผู้บริการอินเตอร์เน็ตได้มีบริการเสริมอื่นๆ ให้บริการอีกหรือไม่ เช่น มีพื้นที่ว่างสำหรับการสร้าง Homepage และมี E – mail Address ให้ด้วยหรือไม่

การติดตั้งโปรแกรมเชื่อมต่อแบบ Dial-up Connection

สำหรับ Windows XP

1. กดปุ่ม Start เลือก Control Panel จากนั้นดับเบิ้ลคลิก Network and Internet Connection
2. ดับเบิ้ลคลิก Network Connections
3.ดับเบิ้ลคลิก Create a new connection จากรายการทางด้านซ้าย
สำหรับ Windows XP แบบ Classic :
1.กดปุ่ม Start จากนั้นเลือก Control Panel
2.ดับเบิ้ลคลิก Network Connections
3.ดับเบิ้ลคลิก Create a new connection จากรายการด้านซ้าย
4.จะแสดงหน้าต่าง Welcome to the Network Connection Wizard กดปุ่ม Next
5 . เลือกรายการ Connect to The Internet จากนั้นกดปุ่ม Next
6. เลือกหัวข้อ Set Up My Connection Manually จากนั้นกดปุ่ม Next
7.เลือกหัวข้อ Connect Using A Dial-Up Modem จากนั้นกดปุ่ม Next
8. พิมพ์ชื่อที่ต้องการตั้งสำหรับการเชื่อมต่อ เช่น Rally จากนั้นกดปุ่ม Next
9. ในช่อง Phone Number to Dial พิมพ์ หมายเลขโทรศัพท์ 074316477 จากนั้นกดปุ่ม Next
10. สำหรับ On Internet Account Information
พิมพ์รหัสผ่าน ในช่อง User คือ moi
พิมพ์รหัสผ่าน ในช่อง password คือ moinet และ Confirm password
นำเครื่องหมายถูกหน้าหัวข้อ Use the account name and password when anyone connects to the Internet from this computer
ออกนำเครื่องหมายถูกหน้าหัวข้อ Make this the default Internet Connection ออก
นำเครื่องหมายถูกหน้าหัวข้อ Turn on Internet Connection Firewall for this connection จากนั้นกดปุ่ม Next
11 เสร็จสิ้นการสร้าง Internet Connection กดปุ่ม Finish จากนั้นจะพบไอคอนสำหรับเชื่อมต่อ
12 สำหรับการติดตั้งค่าเพิ่มเติม คลิกขวาที่ Connection Icon กดปุ่ม Properties
จะเห็นข้อมูลที่ได้ติดตั้งค่าไว้ในเบื้องต้น แสดงรายการโมเด็มที่ใช้งาน (หากมีโมเด็มมากกว่าหนึ่งเครื่อง จะแสดง รายการทั้งหมด) กดปุ่ม Configure
13 ตั้งค่า Maximum speed (bps) เป็น 57600 จากนั้นกดปุ่ม OK
14 เลือกหน้าต่าง Networking ในหัวข้อแรกตั้งค่า PPP: Windows 95/98/NT4/2000, Internet สำหรับส่วนที่สองสำหรับเลือก protocol
สำหรับใช้งาน เลือกหัวข้อ Internet Protocol (TCP/IP) กดปุ่ม OK จะกลับสู่ไอคอนสำหรับเชื่อมต่อ

การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต

รูปแบบการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตมีอยู่ 2 แบบ ตามลักษณะการใช้งานซึ่งจะมีความเร็วและค่าใช้จ่ายแตกต่างกันไป ดังนี้

1. การเชื่อมต่อแบบส่วนบุคคล
เป็นการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ผ่านคู่สายโทรศัพท์หนึ่งเลขหมายไปยังผู้ให้บริการ (คิดค่าบริการตามจำนวนชั่วโมงในการใช้งาน) ปัจจัยที่มีผลต่อความเร็วได้แก่ สายสัญญาณโทรศัพท์ โมเด็มและความหนาแน่นของสมาชิกที่ใช้งานในขณะนั้น ผู้ใช้บริการสามารถกระจายสัญญาณไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ ให้ท่องอินเทอร์เน็ตได้ในเวลาเดียวกัน
2. การเชื่อมต่อแบบองค์กร
เป็นการเชื่อมต่อที่มีความเร็วสูงกว่าแบบส่วนบุคคลและเป็นการเชื่อมต่อแบบถาวรตลอดเวลากับผู้ให้บริการด้วยสายเช่า (Lease Line) และใช้อุปกรณ์พิเศษ เช่น Digital Modem, Router ค่าใช้จ่ายจะสูงกว่าแบบส่วนบุคคล เหมาะสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีเครื่องลูกข่ายจำนวนมาก

วิธีการติดต่อเช้าระบบอินเทอร์เน็ตทำได้ 3 วิธี คือ
1. การเชื่อมต่อโดยตรง (Direct Internet Access)/b>
เป็นการเชื่อมต่อโดยตรงกับสายหลักของอินเทอร์เน็ต โดยผ่านอุปกรณ์ที่เรียกว่า Gateway ร่วมกับสายสัญญาณความเร็วสูงโดยตรงกับ InterNIC ซึ่งสามารถติดต่อกับอินเทอร์เน็ตได้ตลอดเวลา แต่เสียค่าใช้จ่ายสูง

2. การเชื่อมต่อผ่านสายโทรศัพท์ (Dial-Up Access)
เป็นการเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเพื่อเป็นทางผ่านเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ต

3. การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบไร้สาย (Wireless Internet) มีวิธีการหลากหลาย ได้แก่
การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบไร้สายผ่านเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ PCT เป็นการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านคอมพิวเตอร์ Note book และคอมพิวเตอร์แบบพกพา (Pcoket PC) ผู้ใช้จะต้องมี โมเด็ม ชนิด PCMCIA ของ PCT ซึ่งทำให้ผู้ใช้สามารถใช้อินเทอร์ไร้สายได้ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล

การใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือโดยตรง (Mobile Internet) เช่น
* WAP (Wireless Application Protocal)
* GPRS(General Packet Radio Service)
* CDMA (Code Division Multiple Access)
* BLUETOOTH TECHNOLOGY

การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตด้วยเครื่อง Palm และ Notebook ผ่านโทรศัพท์มือถือที่สนับสนุนระบบ GPRS ซึ่งโทรศัพท์ที่สนับสนุนระบบ GPRS จะทำหน้าที่เสมือนเป็นโมเด็มให้กับอุปกรณ์ที่นำมาต่อพ่วง

การยกเลิกการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
ถ้าคุณใช้การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านสายโทรศัพท์ คุณต้องยกเลิกการเชื่อมต่อทุกครั้งที่เสร็จสิ้นการใช้อินเทอร์เน็ต ถ้าคุณใช้การเชื่อมต่อแบบบรอดแบนด์ คุณจะเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอยู่เสมอ ไม่ว่าจะใช้เว็บหรือไม่ก็ตาม ดังนั้นเมื่อคุณปิดเว็บเบราว์เซอร์ คอมพิวเตอร์ของคุณจะยังคงเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอยู่
การยกเลิกการเชื่อมต่อจากการเชื่อมต่อผ่านสายโทรศัพท์

คลิกไอคอน การเชื่อมต่อ ในพื้นที่แจ้งให้ทราบ ให้คลิกชื่อการเชื่อมต่อ แล้วคลิก ยกเลิกการเชื่อมต่อ
การปิดใช้งานการเชื่อมต่อแบบบรอดแบนด์
แม้ว่าการเชื่อมต่อแบบบรอดแบนด์จะเปิดอยู่เสมอ แต่ในบางครั้งคุณอาจจำเป็นต้องปิดใช้งานเพื่อการแก้ไขปัญหา
เปิด 'การเชื่อมต่อเครือข่าย' ด้วยการคลิกปุ่ม เริ่ม แล้วคลิก แผงควบคุม ในกล่องค้นหา ให้พิมพ์ อะแดปเตอร์ จากนั้นภายใต้ 'ศูนย์เครือข่ายและการใช้ร่วมกัน' ให้คลิก ดูการเชื่อมต่อเครือข่าย
คลิกขวาที่การเชื่อมต่อแบบบรอดแบนด์ แล้วคลิก ปิดใช้งาน ถ้าคุณได้รับพร้อมท์ให้ใส่รหัสผ่านของผู้ดูแลหรือการยืนยัน ให้พิมพ์รหัสผ่านหรือทำการยืนยัน